เมื่อเครื่องบิน Air Force One ลงจอดที่ฐานทัพร่วมเอล์มดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสก้า ในวันที่ 15 สิงหาคม 2025 โลกต่างจับตามองการพบปะครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน หลังจากไม่ได้เจอกันมานานกว่า 6 ปี แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงเนื้อหาการเจรจาเท่านั้น หากแต่เป็นการเปรียบเทียบกองกำลังและระบบรักษาความปลอดภัยที่ปกป้องผู้นำทั้งสองประเทศ
การจัดเวทีที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ความปลอดภัย
การเลือกสถานที่จัดประชุมที่อะแลสก้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในฐานะจุดที่ใกล้ที่สุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ที่ห่างกันเพียง 4 กิโลเมตรข้ามช่องแคบเบริง มันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่ทั้งสองประเทศยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน แต่ในแง่ของความปลอดภัย การเลือกดินแดนสหรัฐฯ เป็นเจ้าบ้านแสดงให้เห็นถึงการควบคุมสถานการณ์และการจัดการความเสี่ยงที่อยู่ในมือของฝ่ายอเมริกัน
การปรากฏตัวของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 Spirit และเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-22 Raptor ที่บินผ่านเหนือบริเวณการประชุมไม่ใช่การแสดงพลังทหารธรรมดา แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความสามารถในการคุ้มครองและการควบคุมน่านฟ้าอเมริกัน ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนที่การประชุมสุดยอดมักจัดในสถานที่กลางๆ เช่น เจนีวา หรือเรคยาวิก
ระบบรักษาความปลอดภัยสไตล์อเมริกัน
ระบบรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีอเมริกันมีความซับซ้อนและหลายชั้น โดยมี Secret Service เป็นหน่วยหลักที่รับผิดชอบ ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ เช่น FBI, CIA และ NSA ที่ทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด การจัดการประชุมที่อะแลสก้าต้องอาศัยการประสานงานกับกองทัพอากาศ กองทัพบก และหน่วยยามฝั่งเพื่อสร้างเขตปลอดภัยที่แน่นหนา
สิ่งที่โดดเด่นในการจัดการครั้งนี้คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากแผนเดิมที่จะเป็นการพูดคุยตัวต่อตัว กลายเป็นการประชุม 'สามต่อสาม' โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ และทูตพิเศษสตีฟ วิทคอฟ ร่วมประชุมด้วย การปรับเปลี่ยนนี้สะท้อนถึงแนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้นและการสร้างสมดุลในการเจรจา
กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยสไตล์รัสเซีย
ในทางกลับกัน ระบบรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดีรัสเซียกลับมีลักษณะที่แตกต่างออกไป โดย Federal Protective Service (FSO) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ ร่วมกับ FSB (บริการรักษาความปลอดภัยของสหพันธรัฐ) และ SVR (บริการข่าวกรองต่างประเทศ) ที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินภัยคุกคามและการเตรียมความพร้อม
ปูตินเดินทางพร้อมคณะ ร่วมด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ และที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศยูริ อุชาคอฟ การเลือกบุคคลเหล่านี้สะท้อนถึงความสำคัญที่รัสเซียให้กับการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทที่รัสเซียกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติเรื่องสงครามยูเครน
การใช้ Soft Power ในการสร้างภาพลักษณ์
สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีที่ทั้งสองผู้นำใช้โอกาสนี้ในการแสดงออกถึงแนวทางการนำที่แตกต่างกัน ทรัมป์เน้นการแสดงบทบาทเจ้าบ้านที่มีอำนาจ ด้วยการต้อนรับอย่างเป็นทางการและการจัดแถลงข่าวที่เน้นความสำเร็จของการเจรจา แม้ว่าจะยังไม่มีข้อตกลงเรื่องยูเครน
ขณะที่ปูตินใช้กลยุทธ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า โดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ระหว่างสองประเทศ เขากล่าวว่า 'เราเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน และนั่นเป็นความจริง' เพื่อสร้างบรรยากาศของความใกล้ชิดและความเข้าใจ แต่เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการโจมตีพลเรือนในยูเครน เขากลับเลือกที่จะหลีกเลี่ยงโดยยกมือแตะหูแล้วเดินผ่าน
ความท้าทายของ Soft Power อเมริกันในยุคใหม่
แม้ว่าสหรัฐอเมริกายังคงรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งในดัชนี Global Soft Power Index 2025 ด้วยคะแนน 79.5 จาก 100 คะแนน แต่การศึกษาเผยให้เห็นความกังวลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการตกลงของชื่อเสียงในระดับสากลถึง 4 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 15 และด้านการปกครองที่ตกลง 4 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 10
การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศภายใต้ 'America First' ในวาระที่สองของทรัมป์ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบรักษาความปลอดภัยและการใช้ Soft Power การลดงบประมาณสำหรับความช่วยเหลือระหว่างประเทศ การปิด US Agency for Global Media รวมถึง Voice of America ที่เคยออกอากาศใน 50 ภาษาและเข้าถึงผู้คน 360 ล้านคนทั่วโลก
การลดเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศภายในประเทศ 20% หรือประมาณ 3,400 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่การต่างประเทศ ทูตพิเศษ และผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ส่งผลให้ความสามารถในการปกป้องผู้นำและผลประโยชน์ชาติในต่างประเทศอ่อนแอลง
การพัฒนา 'อำนาจแหลม' ของรัสเซีย
ในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาอำนาจนุ่มแบบดั้งเดิม รัสเซียภายใต้การนำของปูตินได้พัฒนาสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า 'Sharp Power' หรืออำนาจแหลม ที่มุ่งเน้นการบ่อนทำลายและจูงใจผู้นำอื่นๆ มากกว่าการสร้างความน่าเชื่อถือ
กลยุทธ์นี้เห็นได้ชัดจากการที่ปูตินใช้เวลาในการแถลงข่าวเพื่อพูดถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ แทนที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นที่อ่อนไหว เป็นการใช้ 'อำนาจแหลม' เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้และหลีกเลี่ยงการตอบโต้ในประเด็นที่ไม่เอื้อ
ผลกระทบต่อระบบความมั่นคงโลก
การประชุมสุดยอดที่อะแลสก้าเผยให้เห็นการปรับตัวของระบบรักษาความปลอดภัยผู้นำในยุคที่ Soft Power แบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความท้าทาย ขณะที่สหรัฐอเมริกายังคงมีความเหนือกว่าในด้านเทคโนโลยีทางทหารและการจัดการความปลอดภัย แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายภายในกำลังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้อิทธิพลระหว่างประเทศ
การที่พันธมิตรยุโรปเริ่มวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐอเมริกาในน้ำเสียงที่ขมขื่น เช่น คำกล่าวของนักการเมืองฝรั่งเศส Claude Malhuret ที่เปรียบวอชิงตันเป็น 'ราชสำนักของนีโร่' แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ต่ออำนาจและความน่าเชื่อถือของอเมริกา
ในขณะเดียวกัน รัสเซียก็กำลังพัฒนารูปแบบใหม่ของการใช้อิทธิพลที่ไม่ต้องพึ่งพาความน่าเชื่อถือแบบดั้งเดิม แต่ใช้การบิดเบือนข้อมูล การสร้างความสับสน และการใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางการเมืองของคู่แข่งแทน
เมื่อเครื่องบินของปูตินขึ้นจากอะแลสก้ากลับสู่มอสโก โลกก็ได้เห็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบความมั่นคงโลก ที่ Soft Power แบบดั้งเดิมกำลังต้องแข่งขันกับรูปแบบใหม่ของการใช้อิทธิพลที่ซับซ้อนและคาดเดาได้ยากมากขึ้น คำถามสำคัญคือ ในโลกที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าความจริง และความน่าเชื่อถือกลายเป็นสินค้าหายาก ระบบใดจะสามารถปกป้องผู้นำและผลประโยชน์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด?
(Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)