ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% จากเดิมที่เรียกเก็บภาษี 30% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน หรืออาจเร็วกว่านั้น ถือเป็นภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากหลังจากทั้ง 2 ประเทศสงบศึกทางการค้ามาหลายเดือน
“สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 100% สูงกว่าภาษีนำเข้าใดๆ ที่พวกเขาจ่ายอยู่ในปัจจุบัน และในวันที่ 1 พฤศจิกายน เราจะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญทั้งหมด”
— ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social เมื่อบ่ายวันศุกร์ (10 ต.ค.)
การประกาศของทรัมป์มีสาเหตุมาจากที่จีนเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงดูเหมือนจะยกเลิกการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ที่มีกำหนดจัดขึ้นในเกาหลีใต้ช่วงปลายเดือนนี้
นอกจากนี้ ประกาศของทรัมป์ที่จะขู่ว่าขึ้นภาษีใหม่อย่าง ‘มหาศาล’ ยังได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนักจากนักลงทุน เนื่องจากความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาซึ่งในเวลานั้น สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทรัมป์ประกาศ ตลาดหุ้นก็ปิดตัวลงอย่างรวดเร็วในวันศุกร์ (10 ต.ค.) โดยดัชนี Dow ร่วงลง 878 จุด หรือ 1.9%, ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 2.7% และดัชนี Nasdaq ซึ่งเน้นสินค้าเทคโนโลยีร่วงลง 3.5%
ที่ผ่านมา แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้ดำเนินการตามคำขู่ของเขาเสมอไป แต่นักลงทุน ผู้บริโภค และภาคธุรกิจก็ยังคงมีเหตุผลที่ต้องกังวลอยู่ดี
ทว่า 2 ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน...

สหรัฐฯ และจีนเป็น 2 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าเม็กซิโกจะเข้ามาแทนที่จีนเมื่อไม่นานมานี้ในฐานะแหล่งนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดที่ส่งมายังสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงพึ่งพาจีนในการส่งออกสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน จีนก็เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักของสหรัฐฯ ด้วยเช่นเดียวกัน
สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์ นั้นถือเป็นสินค้าหลักที่สหรัฐฯ ได้รับจากจีน โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กดดันผู้บริหารบริษัทโดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีให้ย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ แต่สุดท้ายแล้ว ทรัมป์ก็ผ่อนปรนท่าทีลง หลังจากผู้นำธุรกิจประกาศลงทุนเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในภาคการผลิตของสหรัฐฯ แม้ว่าจะยังคงผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในต่างประเทศก็ตาม
ไม่นานหลังจากการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าจากจีนในระดับขั้นต่ำที่ 145% ซึ่งเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าที่มีประสิทธิภาพ ทรัมป์ก็ได้ออกมาตรการยกเว้นภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้สินค้าเหล่านั้นต้องเสียภาษีเพียง 20% แทน การกระทำนี้ถือเป็นการยอมรับว่ารัฐบาลทรัมป์เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่เขากำลังสร้างให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการกำหนดอัตราภาษีที่สูงลิ่วนี้
จากนั้นในเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน และตกลงลดภาษีนำเข้าต่อกัน โดยจีนลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% ขณะที่สหรัฐฯ ลดภาษีลงจาก 145% เหลือ 30% ทำให้ตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศดีดตัวขึ้นจากผลของข้อตกลงนี้
หรือนี่เป็นระเบิดเวลาของสหรัฐฯ VS จีน?

เมื่อวันศุกร์ (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์อ้างว่า “ความเป็นปรปักษ์ทางการค้าจากจีน ‘เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ’” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความขัดแย้งนี้ปะทุขึ้นมาหลายเดือนแล้ว
สำหรับสหรัฐฯ สิ่งสำคัญประการหนึ่งของข้อตกลงการค้าคือ การสร้างความมั่นใจว่าจีนจะเพิ่มปริมาณการผลิตแม่เหล็กหายาก แม้จะมีความก้าวหน้าหลายประการที่เห็นได้ชัด แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์กลับกล่าวหาจีนว่า ‘ละเมิดเงื่อนไขเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า’
จากนั้น ทรัมป์ก็เริ่มตอบโต้ด้วยการจำกัดการขายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ให้กับจีน รวมถึงชิป AI ตัวสำคัญของ Nvidia ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้หลายประการถูกยกเลิกไปในเวลาต่อมา
ต่อมารัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศว่าจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่ขนส่งบนเรือที่จีนเป็นเจ้าของ หรือดำเนินการในเร็วๆ นี้ ส่วนจีนเองก็ตอบโต้ด้วยแผนการที่คล้ายคลึงกันนี้กับเรือของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ (10 ต.ค.)
สรุปสั้นๆ ก็คือ ทรัมป์แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีข้อจำกัดว่าเขาจะขึ้นภาษีจีนได้มากเพียงใด และสี จิ้นผิงก็ไม่ได้แสดงความเมตตาต่อวิธีการตอบโต้ของเขาเลย
แต่ความสามารถของทรัมป์ในการขึ้นภาษีต่อไปตามอำเภอใจอาจสิ้นสุดลงในเร็วๆ นี้ ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของคดีสำคัญที่กำลังจะขึ้นสู่ศาลฎีกาในเดือนหน้า ตรงกันข้ามกับสีที่ไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดเช่นนี้
(Photo by SAUL LOEB / AFP)



