บทความของสถาบัน Lowy Institute พูดถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของกลุ่ม และเสี่ยงต่อการดึงดูดการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
แนวคิดเรื่องความเป็นกลางของอาเซียนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ขณะนี้อาเซียนกำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ จากการที่ไทยและกัมพูชาปะทะกันตามแนวชายแดนในพื้นที่พิพาทสามเหลี่ยมมรกต อย่างไรก็ตาม แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะองค์กรหรือเวที จะมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้
ในฐานะประธานอาเซียน อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายลดความตึงเครียดและแก้ไขข้อพิพาทตาม “วิถีอาเซียน” แต่กัมพูชากลับส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแทน ส่วนไทยต้องการแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยทวิภาคี และต้องหลังจากที่กัมพูชายุติการโจมตีแล้วเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งนี้ได้บ่อนทำลายหลักการสำคัญสองประการของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก และการละเว้นจากการข่มขู่หรือการใช้กำลัง วิกฤตครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อาเซียนใช้แนวทางที่ไม่เหมาะสมต่อผลกระทบจากความขัดแย้งในเมียนมา รวมถึงความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับข้อพิพาททะเลจีนใต้
อาเซียนมักระบุว่าไม่มีสมาชิกรายใดทำสงครามกับสมาชิกอื่นเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มในปี 1967 แต่ข้ออ้างเรื่องความสัมพันธ์อย่างสันตินั้นก็คลุมเครืออยู่แล้ว ระหว่างปี 2008-2011 ไทยและกัมพูชาได้สู้รบกันอย่างดุเดือดหลายครั้งในพื้นที่ดังกล่าว ก่อนจะยุติลงหลังจากที่อินโดนีเซีย ประธานอาเซียนในขณะนั้น ซึ่งได้รับคำสั่งจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าว ไทยและกัมพูชาได้ตกลงหยุดยิงเท่านั้น แต่ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ความตึงเครียดรอบล่าสุดดำเนินมาหลายสัปดาห์ แต่อาเซียนก็ไม่ได้แสดงความเร่งรีบในการหาทางแก้ไขปัญหานี้ กัมพูชาเปิดเผยข้อมูลการสนทนาทางโทรศัพท์ส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กับ ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการเมืองไทย
แต่ในมิติระหว่างประเทศนั้น เรื่องนี้กลับเป็นภัยคุกคามต่อแนวคิดเรื่องความเป็นกลางของอาเซียนและการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของอาเซียน ไทยและกัมพูชาเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ และจีนตามลำดับ หากอาเซียนไม่สามารถไกล่เกลี่ยความขัดแย้งผ่านกลไกระดับภูมิภาค การแทรกแซงของมหาอำนาจในความขัดแย้งอาจเสี่ยงต่อการทำให้อาเซียนต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
อาเซียนควรหันกลับไปมองบทเรียนจากสงครามชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม เพื่อป้องกันไม่ให้ประเด็นระดับภูมิภาคถูกทำให้กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศจนส่งผลเสียต่อตนเอง ในขณะนั้นทั้งสองประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกอาเซียน แต่ประสบการณ์ในครั้งนั้นยังเป็นตัวอย่างในการรับมือกับความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้อยู่
ไม่นานหลังการล่มสลายของไซ่ง่อนในปี 1975 เขมรแดงก็เปิดฉากโจมตีหมู่เกาะที่เวียดนามยึดครองนอกชายฝั่งอ่าวไทยหลายครั้ง เพื่อทวงคืนดินแดนเขมรโบราณที่เขมรแดงถือว่าเวียดนามผนวกเข้าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เวียดนามพยายามยุติข้อพิพาทโดยการพูดคุยกับผู้นำเขมรแดงและจีนที่หนุนหลัง ต่อมาในเดือนเมษายน 1977 เขมรแดงกลับโจมตีจังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ของเวียดนาม และในปีเดียวกันนั้นเวียดนามได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้ในขอบเขตจำกัดเข้าสู่ดินแดนกัมพูชา
การเจรจาที่ไม่คืบหน้าทำให้เวียดนามตัดสินใจลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับจีนอย่างมาก ต่อมาเวียดนามได้เปิดฉากการรุกรานกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบเพื่อโค่นล้มเขมรแดงในเดือนธันวาคม 1978 ทั้งรัสเซียและจีนจึงยินดีที่จะให้การสนับสนุนแก่ลูกค้าของตัวเอง อันเนื่องมาจากความแตกแยกระหว่างจีนและโซเวียต สงครามชายแดนกัมพูชา-เวียดนามกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างสหภาพโซเวียตและจีน ต่อมาสหรัฐฯ เข้าร่วมในการต่อสู้โดยให้การสนับสนุนไทยในการต่อต้านการยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางการทูตที่แปลกประหลาด อาเซียนเข้าข้างจีนและสหรัฐฯ ที่สนับสนุนเขมรแดงให้ได้ที่นั่งของกัมพูชาในสหประชาชาติไว้ แล้วขวางสาธารณรัฐประชาชนกัมปูเจียที่เวียดนามหนุนหลังไม่ให้เข้าสหประชาชาติ นั่นทำให้อาเซียนกลายเป็นสมรภูมิรบของมหาอำนาจอีกครั้งเพียงไม่กี่ปีหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง และข้อพิพาทนี้กว่าจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อสหภาพโซเวียตและจีนฟื้นฟูความสัมพันธ์โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1986 และเวียดนามก็ค่อยๆ ยุติการมีส่วนร่วมในกัมพูชาอย่างเป็นทางการในปี 1991 ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนจึงยุติลง เวียดนามเข้าร่วมอาเซียนในปี 1995 หลังจากเวียดนามและอาเซียนลดทอนทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน
บทเรียนจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบันนั้นชัดเจนคือ สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือประโยชน์ที่จำกัดของกำลังทหาร ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าการที่ไทยและกัมพูชายกระดับข้อพิพาทขึ้นจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนได้ ความขัดแย้งที่แปรเปลี่ยนเป็นความบาดหมางส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตรและ ฮุน เซน ยิ่งทำให้การยอมประนีประนอมทางการเมืองมีต้นทุนสูงขึ้น
การยุติข้อพิพาททางการทูตเป็นทางเลือกเดียวที่จะรับประกันสันติภาพในระยะยาว แต่มันจะยากขึ้นมากหากมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง
การขยายข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา-เวียดนามสู่ระดับสากลท่ามกลางความขัดแย้งในสงครามเย็นยิ่งทำให้ข้อพิพาทรุนแรงขึ้น ไทยอาจจะอยากเปิดฐานทัพให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้ง (ประเทศไทยไม่มีฐานทัพสหรัฐฯ ถาวรมาตั้งแต่ปี 1976) หรือกัมพูชาอาจให้จีนเข้ามาในฐานทัพเรือเรียมได้มากขึ้น หากการปะทะรุนแรงขึ้น แต่สิ่งนี้จะยิ่งส่งผลกระทบต่อตัวแทนของไทยและกัมพูชาในการยุติข้อพิพาท
บทเรียนต่อไปคือ อาเซียนต้องแสดงบทบาทที่ครอบคลุมและเป็นตัวกลางในกิจการระดับภูมิภาค อาเซียนต้องมุ่งมั่นสู่การยุติข้อพิพาทอย่างสันติ และแสดงให้เห็นว่าวิถีทางของอาเซียนสามารถผ่านการทดสอบเรื่องการจัดการข้อพิพาทภายในกลุ่มได้อย่างแท้จริง
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP