สื่อต่างชาติรายงานข่าวถึงการประกาศ ‘ยุบสภา’ ของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยอีกครั้งท่ามกลางวิกฤตจากสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งใหม่ที่กำลังดำเนินอยู่
BBC
“นายกฯ ไทยยุบสภาเพื่อ ‘คืนอำนาจให้ประชาชน’”
BBC รายงานว่า ประเทศไทยได้ ‘ยุบสภา’ หลังจากเกิดการปะทะกันครั้งใหม่ตามแนวชายแดนติดกับกัมพูชาเกือบ 1 สัปดาห์ โดยจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วัน
ในพระราชกฤษฎีกาที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (12 ธ.ค.) ระบุว่า นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล อ้างถึงข้อพิพาทชายแดนที่รุนแรงซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยของเขาต้องดิ้นรนรับมือมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 3 เดือนก่อน
“ทางออกที่เหมาะสมคือการยุบสภา…ซึ่งเป็นวิธีที่จะคืนอำนาจทางการเมืองให้กับประชาชน...รัฐบาลได้ใช้ทุกวิถีทางในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ถาโถมเข้ามาในประเทศอย่างรวดเร็ว…แต่การบริหารประเทศต้องอาศัยความมั่นคง ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ยุ่งยาก รัฐบาลจึงไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพ และมั่นคงได้อย่างต่อเนื่อง”
— นายกฯ อนุทิน กล่าว
คำสั่งยุบสภาเกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯ อนุทินสูญเสียการสนับสนุนจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา ที่ก่อนหน้านี้เคยสนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน แต่การสนับสนุนจากกลุ่มฝ่ายค้านนั้นมาพร้อมกับเงื่อนไขบางประการ โดยพรรคประชาชนต้องการให้อนุทินปฏิรูปธรรมนูญที่ร่างโดยกองทัพ และยุบสภาภายใน 4 เดือน
อย่างไรก็ดี การยุบสภาเกิดขึ้นท่ามกลางการสู้รบกับกัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทำให้ประชาชนกว่าครึ่งล้านต้องพลัดถิ่น
นอกจากนี้ นายกฯ อนุทินและพรรคภูมิใจไทยของเขายังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการจัดการเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงในภาคใต้ของประเทศไทยเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 176 ราย
The Guardian
“ไทยเตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและการปะทะกันในกัมพูชา”
นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ ของประเทศไทย ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ว่า เขาจะ ‘คืนอำนาจให้ประชาชน’ ด้วยการยุบสภาและเปิดทางให้มีการเลือกตั้งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นพร้อมกับการปะทะกันอย่างรุนแรงครั้งใหม่บริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นแล้วประมาณ 500,000 คน
นายกฯ อนุทินกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ว่า “การยุบสภาจะไม่ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการทางทหารของไทยตามแนวชายแดน” ซึ่งมีการปะทะกันเกิดขึ้นกว่าสิบแห่ง และบางแห่งมีการยิงปืนใหญ่ใส่กัน “ผมขอคืนอำนาจให้กับประชาชน” อนุทิน กล่าวบนโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.)
Reuters
“นายกรัฐมนตรีไทยยุบสภา เตรียมจัดการเลือกตั้งใหม่”
นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล ของไทย ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ว่า เขาจะ ‘คืนอำนาจให้ประชาชน’ ด้วยการยุบสภา และเปิดทางให้มีการเลือกตั้งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
โฆษกรัฐบาล สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีความขัดแย้งกับกลุ่มพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาอย่างพรรคประชาชน “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่สามารถเดินหน้าต่อไปในรัฐสภาได้”
Bloomberg
“ประเทศไทยเตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด หลังนายกรัฐมนตรีประกาศ ‘ยุบสภา’”
นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล ประกาศ ‘ยุบสภา’ เตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด หลังจากพรรคการเมืองเสียงข้างมากอย่างพรรคประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของเขาขู่ว่า ‘จะถอนการสนับสนุน’
ทั้งนี้ นายกฯ อนุทินกล่าวในโพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ว่า เขาจะ ‘คืนอำนาจให้ประชาชน’ จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบตามคำแนะนำของนายกฯ ในการยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญไทย
ภายใต้กฎหมายไทย การเลือกตั้งจะต้องจัดขึ้นภายใน 45-60 วันหลังจากยุบสภา นั่นหมายความว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนมกราคม
AFP
“นายกรัฐมนตรีไทยยุบสภา ปูทางสู่การจัดการเลือกตั้งระดับชาติ”
นายกฯ ไทยประกาศ ‘ยุบสภา’ เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในช่วงต้นปีหน้า
การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเกิดขึ้นในช่วงที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งระหว่างไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนที่มีข้อพิพาท ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า นายกฯ อนุทินจะรอจนถึงหลังวันคริสต์มาส ถึงจะยุบสภา
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการปะทะกันกับกัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งบริเวณชายแดน ซึ่งส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นแล้วประมาณ 500,000 คน
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)



