ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างแสดงความ ‘โล่งใจ’ หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศส่วนใหญ่โดนเรียกเก็บในอัตราที่ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 19% ต่ำสุด 10% และสูงโดดไปถึง 40%
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นโยบายภาษีทรัมป์สร้างความสั่นคลอนให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและการผลิตเป็นหลัก ประกอบกับหลายพื้นที่ในภูมิภาคนี้ได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานจากจีน
-1.jpg&w=3840&q=75)
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าเศรษฐกิจรวมกันมากกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 123 ล้านล้านบาท) ต่างก็เร่งเสนอสัมปทานและบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของภูมิภาคนี้ ทั้งยังแข่งขันกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดระหว่างกัน
กระทรวงการค้ามาเลเซียกล่าวว่า “อัตราภาษีที่ลดลงจาก 25% ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยง ถือเป็นผลลัพธ์เชิงบวกโดยไม่กระทบต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘Red line items’” ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย พิชัย ชุณหวชิร เผยว่า “การลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% จะช่วยบรรเทาความยากลำบากของเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความท้าทายระดับโลก สิ่งนี้ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยบนเวทีโลก เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเปิดประตูสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ที่เพิ่มขึ้น และโอกาสใหม่ๆ”
ซุน จันทอล รองนายกฯ และผู้นำการเจรจาการค้าของกัมพูชาเผยว่า “หากสหรัฐฯ ยังคงรักษาอัตราภาษีไว้ที่ 49% หรือ 36% อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาก็คงจะล่มสลายไปในความเห็นของผม”
นักลงทุนต่างพากันใจชื้น!

กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซียต่างก็พอใจกับอัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการรักษาสถานะเดิมระหว่างตลาดคู่แข่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตลาดที่ได้รับประโยชน์จากการค้าที่เรียกว่า ‘จีนบวกหนึ่ง’ (แนวทางที่ธุรกิจต่างๆ ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเพียงแห่งเดียวในการผลิตและจัดหา / China Plus One)
“มันดีมาก เรา (ไทย) อยู่ในระดับเดียวกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แถมยังต่ำกว่าเวียดนาม...เราพอใจ” วีระชัย เลิศลักษณ์ปรีชา จาก Star Microelectronics (SMT.BK) บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ กล่าว
ขณะที่ ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยว่า “อัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับเวียดนามจะช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ไว้ได้”
“ภาษีศุลกากรล่าสุดนี้จะช่วยปรับระดับการแข่งขัน ผมไม่เห็นว่าบริษัทเหล่านี้จะทำอะไรเป็นพิเศษ ตอนนี้ธุรกิจยังคงดำเนินไปตามปกติ จนกว่าพวกเขาจะหาทางออกที่ดีที่สุดต่อไปได้” หว่อง ซิ่ว ไห่ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มาเลเซีย กล่าว
อย่างไรก็ดี รัฐบาลทรัมป์ยังคงต้องพิจารณาอีกมาก รวมถึงอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี กฎเกณฑ์เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้า และสิ่งที่ถือว่าเป็นการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเป้าไปที่สินค้าที่มาจากจีน หากประเทศใดฝ่าฝืนจะโดนเก็บภาษีเพิ่มอีก 40%
เวียดนามมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มูลค่ามากกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.9 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว และมักถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนเส้นทางสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย
ขณะเดียวกัน เวียดนามก็ยังเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาการค้าและบรรลุข้อตกลงในเดือนกรกฎาคม ซึ่งปิดดีลด้วยการลดอัตราภาษีนำเข้าจาก 46% เหลือ 20% แต่ธุรกิจบางแห่งยังคงมีความกังวลว่าการพึ่งพาวัตถุดิบและส่วนประกอบที่นำเข้าจากจีนอย่างมากอาจนำไปสู่การใช้อัตราภาษี 40% ในวงกว้างขึ้น
“นี่แหละคือปัญหาจริงๆ” นักธุรกิจชาวเวียดนามคนหนึ่งไม่เปิดเผยชื่อ กล่าว
แอนดรูว์ เซิง จากสถาบันเอเชียโกลบอล มหาวิทยาลัยฮ่องกง เผยว่า “จากอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกันนี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรรู้สึกโล่งใจที่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายได้ผ่านไปแล้ว...การประกาศภาษีครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็น ‘ศิลปะการเจรจาของทรัมป์’ ซึ่งมีทั้งการโฆษณาเกินจริง การข่มขู่มากมาย และในท้ายที่สุดก็มีการเสนอข้อตกลงที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าข้อตกลงนี้ดูสมเหตุสมผล”
(Photo by JUSTIN SULLIVAN / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)