เปิด ‘อนุสัญญาออตตาวา’ ว่าด้วยการห้ามใช้-ผลิต-ครอบครอง-ส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ไทย-กัมพูชาเข้าร่วม

19 ก.ค. 2568 - 04:30

  • ในระหว่างที่ทางการไทยกำลังตรวจสอบว่า ‘ทุ่นระเบิดของกัมพูชาเป็นของใหม่ หรือของเก่า’ SPACEBAR จะพาย้อนดูว่า ‘อนุสัญญาออตตาวา’ คืออะไร แล้วสำคัญอย่างไร...

  • หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ นั่นก็หมายความว่า ‘กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty)

  • แล้วอนุสัญญาฉบับนี้มีบทลงโทษอย่างไรสำหรับประเทศที่ ‘ละเมิด’ กฏ

เปิด ‘อนุสัญญาออตตาวา’ ว่าด้วยการห้ามใช้-ผลิต-ครอบครอง-ส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ไทย-กัมพูชาเข้าร่วม

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลัง 3 ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ ระหว่างลาดตระเวนบริเวณเนิน 481 อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ตรงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยในระหว่างนี้ ทางการไทยกำลังตรวจสอบว่า ‘ทุ่นระเบิดนั้นเป็นของใหม่ หรือของเก่า’ 

หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ นั่นก็หมายความว่า ‘กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา’ (Ottawa Treaty) หรือ สนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Treaty) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อห้ามการใช้ การผลิต การครอบครอง และการส่งโอน ‘ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล’ 

SPACEBAR จะพาย้อนดูความสำคัญของอนุสัญญาออตตาวาฉบับนี้ 

ว่าด้วยเรื่อง ‘อนุสัญญาออตตาวา’... 

   (Photo by AFP / นักเคลื่อนไหวรายหนึ่งโยนรองเท้าเข้าไปบนกองรองเท้าที่ถูกจัดวางโดย ‘Handicap International’ องค์กรพัฒนาเอกชน ณ จัตุรัสปลาสเดอลาเคปูบลิก กรุงปารีส เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2017 เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของสนธิสัญญาออตตาวา)
(Photo by AFP / นักเคลื่อนไหวรายหนึ่งโยนรองเท้าเข้าไปบนกองรองเท้าที่ถูกจัดวางโดย ‘Handicap International’ องค์กรพัฒนาเอกชน ณ จัตุรัสปลาสเดอลาเคปูบลิก กรุงปารีส เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2017 เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของสนธิสัญญาออตตาวา)

‘อนุสัญญาออตตาวา’ (Ottawa Treaty) อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามการใช้ การผลิต การครอบครอง การส่งโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด หรือที่เรียกว่า ‘สนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล’ (Mine Ban Treaty) อันเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก 

อนุสัญญานี้เปิดให้ทุกรัฐลงนาม ณ เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา ตั้งแต่วันที่ 3-4 ธันวาคม 1997 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1999 

สาระสำคัญของอนุสัญญานี้คือ : 

  • ห้ามใช้ พัฒนา ผลิต ครอบครอง และส่งโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 
  • ประเทศภาคีต้องทำลายทุ่นระเบิดที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมดภายใน 4 ปีหลังจากเข้าร่วมอนุสัญญา 
  • ประเทศภาคีต้องดำเนินการเก็บกวาดพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดทั้งหมดภายใน 10 ปีหลังจากเข้าร่วม โดยอาจขอขยายเวลาได้ในกรณีจำเป็น 
  • ประเทศภาคีต้องให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด เช่น การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการส่งเสริมการกลับคืนสู่สังคม 

ปัจจุบัน (กลางปี 2025) มีประเทศเข้าร่วมอนุสัญญานี้แล้วกว่า 165 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีไทยและกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ทำให้อนุสัญญาออตตาวากลายเป็นหนึ่งในข้อตกลง ‘ด้านอาวุธมนุษยธรรม’ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย และปากีสถาน ที่ยังไม่ลงนาม หรือให้สัตยาบันอนุสัญญา 

ทุ่นระเบิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักได้แก่ : 

  • ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel mines) 
  • ทุ่นระเบิดสังหารยานพาหนะ (anti-vehicle mines) 

ทุ่นระเบิดทั้งสองประเภทนี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และยังคงคร่าชีวิตพลเรือนและผู้คนที่อยู่โดยรอบได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าความขัดแย้งจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม  

ตั้งแต่เริ่มใช้อนุสัญญาออตตาวามากว่าสองทศวรรษ อนุสัญญานี้ได้นำไปสู่การหยุดชะงักของการผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก และทำให้การนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆ ลดลงอย่างมาก 

ปัจจุบัน มีการทำลายทุ่นระเบิดที่เก็บสะสมไว้แล้วมากกว่า 47-55 ล้านลูก โดยประเทศภาคีส่วนใหญ่ได้ทำลายคลังทุ่นระเบิดของตัวเองจนหมด ส่วนพื้นที่ที่เคยถูกปนเปื้อนด้วยทุ่นระเบิดทั้งหลาย ก็ถูกดำเนินการเก็บกวาดจนได้รับการประกาศว่า ‘ปลอดจากทุ่นระเบิด’  

ประเทศในยุโรปทุกประเทศที่ติดกับรัสเซียต่างพากัน ‘ถอนตัว’ ออกจากอนุสัญญานี้ 

   Photo by : Shutterstock / Karkhut
Photo by : Shutterstock / Karkhut

ปัจจุบันประเทศที่เป็นสมาชิก NATO ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียได้ดำเนินการถอนตัว หรือแสดงเจตนาที่จะถอนตัวจากอนุสัญญานี้ไปแล้ว ได้แก่ ฟินแลนด์ โปแลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย และเอสโตเนีย โดยอ้างเหตุผลว่า ‘เพื่อความมั่นคงของประเทศในภาวะภัยคุกคามทางทหารที่เพิ่มขึ้นจากรัสเซีย’ 

ส่วนยูเครนเองก็ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญาดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้นจากรัสเซีย โดยประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เพิ่งลงนามในคำสั่งเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2025 เพื่อเริ่มกระบวนการถอนตัวจากอนุสัญญา 

อนุสัญญาระบุว่า การถอนตัวต้องผ่านการรับรองจากรัฐสภาและแจ้งบัญชาสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งปกติแล้วการถอนตัวจะมีผลหลังแจ้งอย่างน้อย 6 เดือน แต่การถอนตัวจะไม่สามารถมีผลบังคับใช้ระหว่างที่ประเทศนั้นอยู่ในภาวะสงครามได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของยูเครนซึ่งอยู่ในช่วงความขัดแย้งเต็มรูปแบบ การถอนตัวนี้ยังเป็นประเด็นทางกฎหมายและการเมืองที่ซับซ้อน 

อย่างไรก็ดี ประเทศในยุโรปที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียทุกแห่งได้ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญาออตตาวา ยกเว้น ‘นอร์เวย์’ เพียงแห่งเดียวซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียประมาณ 200 กิโลเมตร (125 ไมล์) ในภูมิภาคอาร์กติกตอนเหนือที่ห่างไกล

“นอร์เวย์เห็นความสำคัญของการรักษามาตรฐานและภาพลักษณ์เชิงลบต่อการใช้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและคร่าชีวิตผู้คนต่อเนื่องหลังสิ้นสุดสงคราม” เอสเปน บาร์ธ ไอเด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผย และเชื่อว่า “นอร์เวย์จะไม่เปลี่ยนจุดยืนนี้”

บทลงโทษสำหรับประเทศที่ ‘ละเมิด’ อนุสัญญา 

   Photo by : Shutterstock / Mukola
Photo by : Shutterstock / Mukola

อนุสัญญาออตตาวา ‘ไม่ได้ระบุบทลงโทษเฉพาะเจาะจง’ สำหรับการละเมิดอนุสัญญานี้โดยตรง แต่ในข้อที่ 9 ของอนุสัญญาได้กำหนดให้ประเทศภาคีต้องดำเนินมาตรการทางกฎหมาย ทางปกครอง และมาตรการอื่นๆ ที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดบทลงโทษทางอาญา เพื่อป้องกันและระงับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายตามข้อตกลงนี้ที่เกิดขึ้นในดินแดน หรือในเขตอำนาจของตัวเอง 

ดังนั้น แต่ละประเทศภาคีจึงต้องออกกฎหมายภายในประเทศของตัวเองเพื่อทำให้การละเมิดอนุสัญญานี้เป็นความผิดทางอาญาและกำหนดโทษ เช่น การจำคุกและปรับเงินตามความเหมาะสม หรือทั้งจำทั้งปรับในกรณีบุคคล รวมถึงปรับเงินสำหรับนิติบุคคล หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด นอกจากนี้ กฎหมายของแต่ละประเทศอาจมีอำนาจนอกดินแดนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ 

นั่นหมายความว่า การดำเนินคดีและการบังคับใช้นั้นขึ้นอยู่กับระบบยุติธรรมของแต่ละประเทศภาคี ดังนั้น การรักษามาตรฐานของอนุสัญญานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดและประสิทธิผลของกฎหมายภายในประเทศแต่ละแห่งในการป้องกันและลงโทษการละเมิดอนุสัญญา 

แต่ทั้งนี้ อนุสัญญาอนุญาตให้ประเทศภาคีจัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสอบสวนการละเมิดที่ถูกกล่าวหา ทั้งยังสามารถจัดประชุมเพื่อหารือและแก้ไขข้อกังวลเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามกฎได้ 

Photo by : Shutterstock / Karkhut 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์