ติโต การ์นาเวียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอินโดนีเซีย เผยในที่ประชุมว่า “รัฐบาล ‘ยังไม่พร้อม’ รับมือกับผลกระทบจากอุทกภัย ภัยพิบัติครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงในจังหวัดอาเจะห์, จังหวัดสุมาตราเหนือ, และจังหวัดสุมาตราตะวันตก...มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางทีเราอาจไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับมัน”
ขณะที่ เตอูกู ไฟซาล ฟาธานี ผู้อำนวยการสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศวิทยา และธรณีฟิสิกส์ของอินโดนีเซีย กล่าวว่า เขาได้เตือนรัฐบาลท้องถิ่นเกี่ยวกับพายุไซโคลนเซนยาร์ 8 วันก่อนที่จะพัดขึ้นฝั่ง และได้เตือนซ้ำอีกครั้งเมื่อ 4 วัน และ 2 วันก่อนที่พายุจะขึ้นฝั่ง
บ้านเรือนกว่า 28,000 หลังได้รับความเสียหายในอินโดนีเซีย และประชาชน 1.4 ล้านคนได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักหลังพายุโซนร้อนก่อตัวขึ้นในช่องแคบมะละกา
ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เป็นหายนะ”และให้คำมั่นสัญญาว่า “จะเร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานโดยเร็ว” ขณะที่เขาเดินทางไปยัง 3 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบเมื่อวันจันทร์ (1 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนเกือบ 300,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากน้ำท่วม
“น้ำท่วมขึ้นไปถึงในบ้าน และเราก็กลัวจึงรีบหนีออกมา จากนั้นเรากลับมาบ้านในวันศุกร์ (28 พ.ย.) แล้วบ้านก็หายไป บ้านเราพังยับเยินหมดแล้ว”
— อาฟริอันติ ชาวบ้านวัย 41 ปี เล่า
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยครั้งรุนแรงในหลายพื้นที่ของเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้ยอดอยู่ที่มากกว่า 1,000 รายแล้ว ท่ามกลางการฟื้นฟู และการช่วยเหลือที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่
สภาพอากาศเลวร้ายจากพายุไซโคลนและพายุอื่นๆ จนทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มในภูมิภาคเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคร่าชีวิตผู้คนในศรีลังกาแล้วอย่างน้อย 366 ราย, 604 รายในอินโดนีเซีย, และ 176 รายในประเทศไทย ขณะที่ยอดผู้สูญหายในศรีลังกาอยู่ที่ 367 ราย, และ 464 รายในอินโดนีเซีย
ประธานาธิบดีอนุรา กุมารา ดิสซานายาเก ของศรีลังกา กล่าวว่า “พายุไซโคลนดิตวะฮ์เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ ‘ใหญ่ที่สุดและท้าทายที่สุด’ ในประวัติศาสตร์ศรีลังกา”
(Photo by : ISHARA S. KODIKARA / AFP)



