ซานาเอะ ทาคาอิจิ ขึ้นแท่นเป็นนายกฯ หญิงคนแรกอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นแล้วเมื่อวันอังคาร (21 ต.ค.) แต่ดูเหมือนว่าการเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศจะไม่ได้มีผลต่อจำนวนคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงเท่าใดนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วคณะทำงานของทาคาอิจิก็ยังคงเป็นผู้ชายเสียส่วนมาก ประกอบกับอุดมการณ์ของเธอที่เอนเอียงไปทางอนุรักษนิยม จึงทำให้พลเมืองหญิงบางคนมีความรู้สึกสับสนในประเด็นความเท่าเทียมทางเพศในสังคมญี่ปุ่น
รัฐบาลของทาคาอิจิแต่งตั้งรัฐมนตรีหญิงเพียง 2 คนจากคณะรัฐมนตรี 19 คน ซึ่งเท่ากับรัฐบาลก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่ถึงแผนที่เธอเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะมีตัวแทนผู้หญิงในตำแหน่งสูงสุด ‘ไม่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศนอร์ดิก’
“รายชื่อรัฐมนตรีที่เธอประกาศนั้นเป็นการทรยศตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่องนี้น่าผิดหวังอย่างยิ่งสำหรับการส่งเสริมสิทธิสตรี”
— ศาสตราจารย์โทโกะ ทานากะ ศาสตราจารย์ด้านสื่อและเพศศึกษา มหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าว
ทาคาอิจิตอบคถามเกี่ยวกับความไม่สมดุลทางเพศในคณะรัฐมนตรีว่า เธอให้ความสำคัญกับ ‘โอกาสที่เท่าเทียมกัน’ และมอบหมายคนให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ทางเลือกของทาคาอิจินั้นค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสมาชิกสภานิติบัญญัติพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของเธอมีเพียง 13% เท่านั้นที่เป็นผู้หญิง ซึ่งพรรคมีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนดังกล่าวเป็น 30% ภายในปี 2033
ที่ผ่านมา สัดส่วนผู้หญิงในคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นไม่เคยเกิน 30% ขณะที่สัดส่วนผู้หญิงในคณะรัฐมนตรีกลุ่มประเทศนอร์ดิกมีมากกว่ามาก ทั้งนี้พบว่า สัดส่วนของรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงของเดนมาร์กคิดเป็น 36% และ 61% ของฟินแลนด์
รายงานช่องว่างระหว่างเพศทั่วโลก (Global Gender Gap Report) ฉบับล่าสุดของเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum / WEF) ระบุว่า ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 118 จาก 148 ประเทศซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียส่วนใหญ่ รวมถึงจีน เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์
อันดับดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึง ‘การมีผู้หญิงในสภานิติบัญญัติที่จำกัด’ ประกอบกับช่องว่างทางรายได้ที่สูงมาก ซึ่งต่างจากประเทศกลุ่มนอร์ดิกที่กลายเป็นผู้นำด้านความเท่าเทียมทางเพศในทางการเมือง
“แม้ว่าการอ้างอิงถึงกลุ่มประเทศนอร์ดิกของทาคาอิจิจะเป็นเพียงวาทกรรมหาเสียง แต่การทำลายเพดานด้วยการแต่งตั้ง ซัตสึกิ คาตายามะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็นับเป็นก้าวสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ เราใช้เวลามากกว่า 120 ปีกว่าจะมาถึงจุดนี้”
— ศาสตราจารย์ตินา ไอรัคซิเนน อาจารย์อาวุโสด้านเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ กล่าว โดยอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่าฟินแลนด์ได้รับสิทธิเลือกตั้งของสตรีในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ส่วนญี่ปุ่นบรรลุจุดเปลี่ยนสำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ศาสตราจารย์ตินา กล่าวอีกว่า “เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในสังคมญี่ปุ่นได้ในทันที แต่เธอสามารถเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงได้”
“เธอเป็นผู้หญิงที่สนับสนุนแนวคิดแบบปิตาธิปไตยของพรรค LDP ซึ่งผู้ชายต้องทำงานหนัก แล้วผู้หญิงก็ต้องคอยดูแลพวกเขาโดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน โดยตัวอย่างสำคัญประการหนึ่งก็คือ การที่ทาคาอิจิปกป้องข้อจำกัดทางกฎหมายที่กำหนดให้คู่สมรสต้องใช้นามสกุลเดียวกัน” ศาสตราจารย์ยาโยะ โอคาโนะ ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีการเมืองสตรีนิยม จากมหาวิทยาลัยโดชิชะ กล่าว
นอกจากนี้ เพื่อรักษาตำแหน่งนายกฯ ของทาคาอิจิ ทางพรรค LDP ได้ลงนามความร่วมมือกับพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น (Ishin) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาที่มีรัฐบาลขนาดเล็กเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม
โยโกะ โอสึกะ ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสวัสดิการและการศึกษาเรื่องเพศสภาพ มหาวิทยาลัยริตสึเมคัง กล่าวว่า “นโยบายประกันสังคมของพวกเขา เช่น หลักการความสามารถในการชำระเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น อาจช่วยยกระดับการสนับสนุนกลุ่มเปราะบาง รวมถึงพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งหลายคนเป็นผู้หญิง”
“ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะส่งเสริมการสืบทอดราชบัลลังก์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นโดยให้เฉพาะผู้ชาย ซึ่งถือเป็นการ ‘เหยียดเพศ’ โดยไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล”
— ศาสตราจารย์โอสึกะ บอกกับ Reuters
(Photo by JIJI PRESS / AFP)


