ใครจะไปคิดว่า “ยาพ่น” ที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) กำลังสร้างผลกระทบต่อโลกและสภาพภูมิอากาศ ล่าสุด งานวิจัยชิ้นใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American Medical Association (JAMA) เผยยาสูดพ่นแบบแรงดัน (Metered-dose Inhalers หรือ MDI) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับรถยนต์กว่า 530,000 คันบนท้องถนนในแต่ละปี

งานวิจัยซึ่งจัดทำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลยาแห่งชาติในช่วงปี 2014 ถึง 2024 พบว่า ยาสูดพ่นที่ใช้อยู่ในระบบประกันสุขภาพเชิงพาณิชย์ รวมถึง Medicaid และ Medicare ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมกว่า 24.9 ล้านเมตริกตันในระยะเวลา 10 ปี
ต้นเหตุหลักคือสารขับดันประเภท Hydrofluoroalkane (HFA) ที่ใช้ในกระป๋องแรงดันของ MDI ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดรุนแรง และแม้จะใช้ในปริมาณเล็กน้อยต่อหน่วยยา แต่เมื่อรวมกันในระดับประเทศก็กลายเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมในระดับมหาศาล
โจทย์ใหญ่ของระบบสุขภาพ ทางเลือกมีแต่คนไข้เข้าไม่ถึง
แม้จะมีทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าอย่าง ยาสูดพ่นแบบผงแห้ง (Dry Powder Inhalers) และแบบละอองหมอก (Soft Mist Inhalers) ซึ่งไม่ใช้สารขับดันและมีอัตราการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่ามาก แต่ผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากอุปสรรคสำคัญอย่างต้นทุนยาและการไม่ครอบคลุมจากระบบประกันสุขภาพ
ดร.วิลเลียม เฟลด์แมน แพทย์โรคปอดจาก UCLA และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้ MDI เช่น เด็กเล็กที่ต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์ spacer และผู้สูงอายุที่มีแรงหายใจไม่พอ ขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ยาชนิดที่ปล่อยก๊าซต่ำได้โดยไม่มีผลกระทบต่อการรักษา
“เราเห็นแล้วว่าประเทศอย่างสวีเดนและญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนไปใช้ยาสูดพ่นชนิดทางเลือกได้โดยไม่ทำให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพแย่ลง แต่ในสหรัฐฯ เราติดอยู่กับข้อจำกัดของระบบประกันและกลไกตลาดที่ทำให้ยาทางเลือกเข้าถึงได้ยาก”
— ดร.วิลเลียม เฟลด์แมน แพทย์โรคปอดจาก UCLA และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าว
ตัวอย่าง ยา albuterol ซึ่งเป็นยาสูดพ่นที่ใช้กันมากที่สุดในสหรัฐฯ มีเวอร์ชันแบบผงแห้งที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่กลับไม่ค่อยอยู่ในแผนความคุ้มครองของประกัน ทำให้ราคาสูงเกินที่ผู้ป่วยทั่วไปจะจ่ายได้ ขณะที่ยา budesonide-formoterol ซึ่งมีจำหน่ายในรูปแบบผงแห้งอย่างแพร่หลายในยุโรป ยังไม่ถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในตลาดอเมริกัน

ถึงเวลาปรับทิศ การแพทย์ต้องเดินคู่ความยั่งยืน
บทความแสดงความเห็นที่ตีพิมพ์ในวารสารเดียวกัน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สนับสนุนข้อเสนอของงานวิจัย และเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างของระบบสุขภาพให้เอื้อต่อการเข้าถึงยาสูดพ่นที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ พวกเขาเตือนว่า ยาสูดพ่นรุ่นใหม่ที่ใช้สารขับดันชนิดที่มีผลกระทบต่อโลกร้อนน้อยลง อาจวางจำหน่ายในอนาคตในฐานะยาชื่อการค้า (brand-name) ที่มีราคาสูง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยที่ไม่มีประกันสุขภาพหรือมีประกันที่ครอบคลุมไม่เพียงพอ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
เฟลด์แมนย้ำว่าจุดประสงค์ของการศึกษานี้ไม่ใช่เพื่อสร้างความรู้สึกผิดให้แก่ผู้ป่วย แต่เพื่อตั้งคำถามต่อโครงสร้างของระบบสุขภาพและการกำกับดูแลยา ที่ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อโลกไม่แพ้ผลต่อร่างกาย
“เรามีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว นั่นคือการรักษาผู้ป่วยโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ขาดคือเจตจำนงทางนโยบายและระบบที่รองรับให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ได้จริง”
— เฟลด์แมน กล่าวย้ำ
การแพทย์ที่ไม่ทำลายโลก
ในวันที่ภาวะโลกร้อนกลายเป็นปัญหาระดับโลก “ความยั่งยืน” ในวงการแพทย์จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดที่จำเป็น ดังนั้น การทบทวนบทบาทของวงการแพทย์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงไม่อาจเลี่ยงได้อีกต่อไป แม้เทคโนโลยีที่ยั่งยืนจะมีอยู่แล้ว แต่หากระบบสุขภาพไม่สนับสนุนให้เข้าถึงได้จริง “การรักษาที่ไม่ทำลายโลก” ก็ยังคงเป็นเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินเอื้อม



