นายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาให้คำมั่นว่าความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยที่มีมาอย่างยาวนานจะยุติลงในเร็วๆ นี้ โดยกล่าวว่า “การทูตเงียบ (quiet diplomacy) ของรัฐบาลกำลังจะปูทางไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในที่สุด”
ในพิธีเปิดสนามบินนานาชาติเตโชเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ฮุน มาเนต ได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นนี้ที่เงียบมานานหลายเดือน ซึ่งหลายคนเข้าใจว่า ‘การยับยั้งชั่งใจของรัฐบาลถูกตีความผิดว่าเป็นการไม่ดำเนินการใดๆ’
“ผมเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้ เพราะการเจรจายังดำเนินอยู่ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกประชาชนของเราว่า สิ่งที่ดูเหมือนเงียบงันนั้น แท้จริงแล้วคือการพยายามอย่างหนักเพื่อหาทางออกอย่างสันติ”
— ฮุน มาเนต กล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการของรัฐบาลในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดน ซึ่งเขากล่าวว่า อยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกลไกระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ
ฮุน มาเนต บอกอีกว่า “กัมพูชาได้มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายสำคัญหลายประการ ได้แก่ การป้องกันการปะทะซ้ำ, การจำกัดผลกระทบด้านมนุษยธรรม, การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต, และท้ายที่สุดคือการยุติข้อพิพาทผ่านข้อตกลงอย่างเป็นทางการ”
“เจ้าหน้าที่ทั้งกัมพูชาและไทยได้ประชุมกันหลายครั้งผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งการเจรจาเหล่านี้ได้ปูทางไปสู่การลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่รอคอยกันมานาน โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า”
“นี่ไม่ใช่ความเงียบ แต่มันคือความพยายามที่จะบรรลุผล เราอาจดูเหมือนเงียบ แต่ความเงียบนั้นเป็นเสียงของความรับผิดชอบ” ฮุน มาเนต กล่าว และเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวและหลีกเลี่ยงการคาดเดาเกี่ยวกับกิจการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สันติภาพยังคงเปราะบาง
ฮุน มาเนต ยังตั้งข้อสังเกตว่ามีน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าการหยุดยิงจะสามารถบรรลุ หรือคงอยู่ได้ แต่การหยุดยิงก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งช่วยชีวิตผู้คนและป้องกันความเสียหายครั้งใหญ่
“การหยุดยิงยังคงเปราะบาง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยได้รับการสนับสนุนจากประธานอาเซียนและทีมผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว เพื่อป้องกันการปะทะกันในอนาคต นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่ากลไกระหว่างประเทศสามารถช่วยธำรงไว้ซึ่งสันติภาพได้อย่างแท้จริง”
— ฮุน มาเนต กล่าว
นอกจากนี้ ฮุน มาเนต ยังประณามบุคคลที่เขากล่าวว่า “พยายามปลุกปั่นความขัดแย้ง หรือแบ่งแยกประเทศ” โดยเตือนว่าการใช้ถ้อยคำที่ขาดความรับผิดชอบจะยิ่งทำให้ความทุกข์ยากของชุมชนตามแนวชายแดนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เขากล่าวว่านักวิจารณ์บางคนที่ต่อต้านการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยนั้น เข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ผิด
“คนที่กล่าวว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไม่จำเป็นนั้น เป็นคำพูดจากอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล การตอบสนองด้วยความโกรธไม่ได้แก้ปัญหา มันไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้นำในพนมเปญ หรือกรุงเทพฯ และมันเพียงแค่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน”
— ฮุน มาเนต กล่าวเสริม
อย่างไรก็ดี ฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการเผชิญหน้าเมื่อเร็วๆ นี้ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยเฉพาะในหมู่บ้านเปรยจันและหมู่บ้านโจกเจยว่า “เหตุการณ์เช่นนี้มักถูกยุยงโดยคนนอกมากกว่าชาวบ้านในพื้นที่...ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนมักจะถือกันและกันเป็นเหมือนพี่น้อง พวกเขาแบ่งปันผืนดินและมีวิถีชีวิตเดียวกันมานานหลายทศวรรษ พวกเขาไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่พวกเขาต้องการทางออก”
ฮุน มาเนต สรุปว่าข้อตกลงสันติภาพที่คาดว่าหากได้ลงนามแล้ว จะทำให้ข้อพิพาทยุติลง พร้อมแสดงความหวังว่าภายใน 2 เดือนข้างหน้า จังหวัดชายแดนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
“เมื่อสันติภาพกลับคืนมา ชุมชนชายแดนของเราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างที่เคยเป็นมา อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างมั่นคงและกลมเกลียว”
— ฮุน มาเนต กล่าวทิ้งท้าย
(Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP)


