การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ภาพที่ออกมาชัดเจนคือ ฝั่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปั๊มน้ำมัน โรงเรียน และร้านสะดวกซื้อ บ้านเรือนประชาชน ไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาล โดยไม่มีเหตผลอันสมควร ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตมากมาย แสดงให้เห็นถึงการละเลยชีวิตมนุษย์และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง จนมีเสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับกัมพูชาในฐานะอาชญากรสงคราม
กรณีของกัมพูชาเข้าข่ายอาชญากรสงครามหรือไม่ต้องพิจารณาตามธรรมนูญกรุงโรมที่กำหนดการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมสงครามไว้ ดังนี้
- การตั้งใจยิงทหารที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรบ (hors de combat) เช่น ยิงทหารที่ยอมแพ้ ยิงทหารที่ถูกจับเป็นเชลย หรือยิงทหารที่บาดเจ็บจนป้องกันตัวเองไม่ได้
- การตั้งใจยิงพลเรือนที่ไม่ใช่ผู้ทำการรบ (combatant)
- การตั้งใจยิงเป้าหมายทางทหาร แต่สร้างความเสียหายเกินสมควรให้กับพลเรือน
- การใช้วิธีการทำสงครามที่เกินธรรมเนียมการทำสงคราม แม้การตั้งใจโจมตีทหารไม่เป็นอาชญากรรมสงคราม แต่หากการโจมตีนั้นใช้วิธีการที่ขัดต่อธรรมเนียมการทำสงคราม ก็อาจมีความผิดอาชญากรรมสงครามได้ เช่น การใช้อาวุธมีพิษ (poison or poisoned weapons) หรือการใช้แก๊สพิษ (poisonous gases)
- การนำพลเรือนมาเป็นเกราะกำบังตัวเองในลักษณะโล่มนุษย์ (human shields) เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้ายิง
- การโกงความไว้ใจ (perfidy) เช่น แกล้งยกธงขาวให้ฝั่งตรงข้ามไม่ยิงและลดอาวุธ แต่ต่อมากลับไปยิงเขาเพราะเขาไว้ใจ ก็ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม
หากพิจารณาตามนี้ การกระทำของกัมพูชาเข้าข่ายละเมิดอนุสัญญาเจนีว่าหลายข้อ โดยเฉพาะการใช้อาวุธหนักกับพลเรือน

ที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ หลักฐานที่มัดตัวว่า ฮุน เซน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี นั่นก็คือรูปที่เจ้าตัวปล่อยออกมาเองให้เห็นว่ากำลังบัญชาการรบด้วยตัวเอง ซึ่งตามกฎหมายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมสงครามเป็นได้ทั้งทหารที่ฝ่าฝืนกฎแห่งการทำสงคราม ไปจนถึงระดับหัวหน้าผู้สั่งการ
หาก ฮุน เซน จะอ้างว่าไม่รู้ว่าอะไรคืออาชญากรรมสงคราม ก็คงจะเชื่อได้ยาก เพราะว่าประเทศตัวเองก็เคยเจอมาก่อนแล้วในสมัยเขมรแดง และ ฮุน เซน ก็เป็นอดีตเขมรแดงคนหนึ่ง
“ธรรมนูญกรุงโรม” คือ สนธิสัญญาที่จัดตั้ง “ศาลอาญาระหว่างประเทศ” (ICC) เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดมาลงโทษ โดยประเภทคดีที่ศาลอาญาระหว่างประเทศรับพิจารณาจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
- การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
- ก่ออาชญากรรมสงคราม
- อาชญากรรมแห่งการรุกราน
กัมพูชาเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจเหนือการกระทำความผิดบนแผ่นดินกัมพูชา หรือที่กระทำโดยบุคคลสัญชาติกัมพูชา แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม ทำให้โดยหลักแล้วศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีอำนาจเหนือการกระทำที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ไม่มีเขตอำนาจเหนือการกระทำโดยบุคคลสัญชาติไทย
แต่หากไทยต้องการดำเนินคดีกับกัมพูชาและ ฮุน เซน ในศาลอาญาระหว่างประเทศก็ยังพอมีช่องทางให้ทำได้คือ
- ขอให้รัฐภาคีเป็นผู้ยื่นเรื่องให้
- ยื่นเรื่องผ่านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แต่แนวทางนี้ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก เพราะ UNSC จะพิจารณาว่า เหตุการณ์นั้นๆ เป็นภัยต่อความมั่นคงโลกหรือไม่
- การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะรายกรณี (ad hoc acceptance) ตามมาตรา 12 (3) เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามามีอำนาจเป็นรายคดีไป โดยไม่ได้ทำให้ไทยต้องเข้าเป็นหนึ่งในภาคีธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นหนทางที่ง่ายสุด
ขั้นตอนการดำเนินคดีอาชญากรรมสงครามของศาลอาญาระหว่างประเทศคร่าวๆ เริ่มจาก
- การสืบสวนโดยพนักงานอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ
- อัยการยื่นคำร้องเพื่อขออนุมัติการออกหมายจับ หากศาลเห็นชอบ ก็ส่งหมายจับไปยังรัฐภาคี อย่างกรณีของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล
- นำผู้ต้องหาขึ้นศาล เริ่มการพิจารณาคดี
- ศาลกำหนดบทลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด

ส่วนบทลงโทษของศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นไม่ใช่แค่การประณาม แต่ศาลมีอำนาจพิพากษาและลงโทษจำคุก ปรับ ริบทรัพย์สินบุคคลที่กระทำความผิดฐานอาชญากรสงครามฝ่าฝืนกฎหมายร้ายแรงสูงสุด ดังนี้
- การจำคุก
-จำคุกตามจำนวนปีที่ศาลกำหนด แต่สูงสุดไม่เกิน 30 ปี
-จำคุกตลอดชีวิต หากศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาว่าอาชญากรรมนั้นร้ายแรงอย่างยิ่งยวด และพิจารณาพฤติการณ์ส่วนบุคคลของผู้กระทำ
- การปรับเงิน-ยึดทรัพย์
-ค่าปรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาและพยานหลักฐาน
-ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำอาชญากรรมนั้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลที่สามผู้สุจริต
ในอดีตมีชาวกัมพูชาถูกตัดสินลงโทษฐานก่ออาชญากรรมสงครามรวม 3 คนคือ นวน เจีย, เขียว สัมพัน และคังเก๊กเอียว หรือสหายดุจ แกนนำเขมรแดงที่คร่าชีวิตคนกัมพูชาราว 2 ล้านคน โดยคดีดังกล่าวในเวลาในการพิจารณาและตัดสินถึง 16 ปี
เขียว สัมพัน แกนนำเขมรแดงคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และก่ออาชญากรรมสงคราม
นวน เจีย ผู้นำหมายเลข 2 ของเขมรแดง ถูกตัดสิน 2 ครั้งว่ามีความผิดและได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต เขาเสียชีวิตในปี 2019 ขณะอายุ 93 ปี
คังเก๊กเอียว หัวหน้าเรือนจำตวลสเล็งที่มีผู้คนถูกทรมาณก่อนนำตัวไปสังหารราว 16,000 คน ถูกพิพากษาในปี 2010 ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ฆาตกรรม และทรมาณผู้อื่น คังก๊กเอียวเสียชีวิตเมื่อปี 2010 ขณะรับโทษจำคุกตลอดชีวิต
ส่วน พล พต หัวหน้าเขมรแดงตัวจริง แม้จะถูกพิจารณาคดีแบบลับหลัง และถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยศาลที่ทางการเวียดนามแต่งตั้งในปี 1979 แต่เขาไม่เคยถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อหน้าศาลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลย จนกระทั่งเสียชีวิตกลางป่าเมื่อปี 1998 หลังเกิดการต่อสู้กันภายในกลุ่ม
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP