ไทยจะลากกัมพูชาขึ้นศาลอาญาโลกฐานก่ออาชญากรรมสงครามได้หรือไม่

31 ก.ค. 2568 - 09:04

  • ธรรมนูญกรุงโรมที่กำหนดการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมสงครามไว้ อาทิ การตั้งใจยิงพลเรือนที่ไม่ใช่ผู้ทำการรบ

  • บทลงโทษของศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นไม่ใช่แค่การประณาม

  • ในอดีตมีชาวกัมพูชาถูกตัดสินลงโทษฐานก่ออาชญากรรมสงครามรวม 3 คน

ไทยจะลากกัมพูชาขึ้นศาลอาญาโลกฐานก่ออาชญากรรมสงครามได้หรือไม่

การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ภาพที่ออกมาชัดเจนคือ ฝั่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปั๊มน้ำมัน โรงเรียน และร้านสะดวกซื้อ บ้านเรือนประชาชน ไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาล โดยไม่มีเหตผลอันสมควร ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตมากมาย แสดงให้เห็นถึงการละเลยชีวิตมนุษย์และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง จนมีเสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับกัมพูชาในฐานะอาชญากรสงคราม

กรณีของกัมพูชาเข้าข่ายอาชญากรสงครามหรือไม่ต้องพิจารณาตามธรรมนูญกรุงโรมที่กำหนดการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมสงครามไว้ ดังนี้

  • การตั้งใจยิงทหารที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรบ (hors de combat) เช่น ยิงทหารที่ยอมแพ้ ยิงทหารที่ถูกจับเป็นเชลย หรือยิงทหารที่บาดเจ็บจนป้องกันตัวเองไม่ได้
  • การตั้งใจยิงพลเรือนที่ไม่ใช่ผู้ทำการรบ (combatant)
  • การตั้งใจยิงเป้าหมายทางทหาร แต่สร้างความเสียหายเกินสมควรให้กับพลเรือน
  • การใช้วิธีการทำสงครามที่เกินธรรมเนียมการทำสงคราม แม้การตั้งใจโจมตีทหารไม่เป็นอาชญากรรมสงคราม แต่หากการโจมตีนั้นใช้วิธีการที่ขัดต่อธรรมเนียมการทำสงคราม ก็อาจมีความผิดอาชญากรรมสงครามได้ เช่น การใช้อาวุธมีพิษ (poison or poisoned weapons) หรือการใช้แก๊สพิษ (poisonous gases)
  • การนำพลเรือนมาเป็นเกราะกำบังตัวเองในลักษณะโล่มนุษย์ (human shields) เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้ายิง
  • การโกงความไว้ใจ (perfidy) เช่น แกล้งยกธงขาวให้ฝั่งตรงข้ามไม่ยิงและลดอาวุธ แต่ต่อมากลับไปยิงเขาเพราะเขาไว้ใจ ก็ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม

หากพิจารณาตามนี้ การกระทำของกัมพูชาเข้าข่ายละเมิดอนุสัญญาเจนีว่าหลายข้อ โดยเฉพาะการใช้อาวุธหนักกับพลเรือน

Photo by Facebook / Hun Sen
Photo by Facebook / Hun Sen

ที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ หลักฐานที่มัดตัวว่า ฮุน เซน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี นั่นก็คือรูปที่เจ้าตัวปล่อยออกมาเองให้เห็นว่ากำลังบัญชาการรบด้วยตัวเอง ซึ่งตามกฎหมายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมสงครามเป็นได้ทั้งทหารที่ฝ่าฝืนกฎแห่งการทำสงคราม ไปจนถึงระดับหัวหน้าผู้สั่งการ

หาก ฮุน เซน จะอ้างว่าไม่รู้ว่าอะไรคืออาชญากรรมสงคราม ก็คงจะเชื่อได้ยาก เพราะว่าประเทศตัวเองก็เคยเจอมาก่อนแล้วในสมัยเขมรแดง และ ฮุน เซน ก็เป็นอดีตเขมรแดงคนหนึ่ง

“ธรรมนูญกรุงโรม” คือ สนธิสัญญาที่จัดตั้ง “ศาลอาญาระหว่างประเทศ” (ICC) เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดมาลงโทษ โดยประเภทคดีที่ศาลอาญาระหว่างประเทศรับพิจารณาจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่

  1. การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
  2. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
  3. ก่ออาชญากรรมสงคราม
  4. อาชญากรรมแห่งการรุกราน

กัมพูชาเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจเหนือการกระทำความผิดบนแผ่นดินกัมพูชา หรือที่กระทำโดยบุคคลสัญชาติกัมพูชา แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม ทำให้โดยหลักแล้วศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีอำนาจเหนือการกระทำที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ไม่มีเขตอำนาจเหนือการกระทำโดยบุคคลสัญชาติไทย

แต่หากไทยต้องการดำเนินคดีกับกัมพูชาและ ฮุน เซน ในศาลอาญาระหว่างประเทศก็ยังพอมีช่องทางให้ทำได้คือ

  1. ขอให้รัฐภาคีเป็นผู้ยื่นเรื่องให้
  2. ยื่นเรื่องผ่านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แต่แนวทางนี้ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก เพราะ UNSC จะพิจารณาว่า เหตุการณ์นั้นๆ เป็นภัยต่อความมั่นคงโลกหรือไม่
  3. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะรายกรณี (ad hoc acceptance) ตามมาตรา 12 (3) เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามามีอำนาจเป็นรายคดีไป โดยไม่ได้ทำให้ไทยต้องเข้าเป็นหนึ่งในภาคีธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นหนทางที่ง่ายสุด

ขั้นตอนการดำเนินคดีอาชญากรรมสงครามของศาลอาญาระหว่างประเทศคร่าวๆ เริ่มจาก

  • การสืบสวนโดยพนักงานอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ
  • อัยการยื่นคำร้องเพื่อขออนุมัติการออกหมายจับ หากศาลเห็นชอบ ก็ส่งหมายจับไปยังรัฐภาคี อย่างกรณีของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล
  • นำผู้ต้องหาขึ้นศาล เริ่มการพิจารณาคดี
  • ศาลกำหนดบทลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด
ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษหลังถูกจรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่ Photo by Courtesy of Facebook user Chatchak Ratsamikaeo / AFP
ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษหลังถูกจรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่ Photo by Courtesy of Facebook user Chatchak Ratsamikaeo / AFP

ส่วนบทลงโทษของศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นไม่ใช่แค่การประณาม แต่ศาลมีอำนาจพิพากษาและลงโทษจำคุก ปรับ ริบทรัพย์สินบุคคลที่กระทำความผิดฐานอาชญากรสงครามฝ่าฝืนกฎหมายร้ายแรงสูงสุด ดังนี้

  •  การจำคุก

-จำคุกตามจำนวนปีที่ศาลกำหนด แต่สูงสุดไม่เกิน 30 ปี

-จำคุกตลอดชีวิต หากศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาว่าอาชญากรรมนั้นร้ายแรงอย่างยิ่งยวด และพิจารณาพฤติการณ์ส่วนบุคคลของผู้กระทำ

  • การปรับเงิน-ยึดทรัพย์ 

-ค่าปรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาและพยานหลักฐาน

-ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำอาชญากรรมนั้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลที่สามผู้สุจริต

ในอดีตมีชาวกัมพูชาถูกตัดสินลงโทษฐานก่ออาชญากรรมสงครามรวม 3 คนคือ นวน เจีย, เขียว สัมพัน และคังเก๊กเอียว หรือสหายดุจ แกนนำเขมรแดงที่คร่าชีวิตคนกัมพูชาราว 2 ล้านคน โดยคดีดังกล่าวในเวลาในการพิจารณาและตัดสินถึง 16 ปี

เขียว สัมพัน แกนนำเขมรแดงคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และก่ออาชญากรรมสงคราม

นวน เจีย ผู้นำหมายเลข 2 ของเขมรแดง ถูกตัดสิน 2 ครั้งว่ามีความผิดและได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต เขาเสียชีวิตในปี 2019 ขณะอายุ 93 ปี

คังเก๊กเอียว หัวหน้าเรือนจำตวลสเล็งที่มีผู้คนถูกทรมาณก่อนนำตัวไปสังหารราว 16,000 คน ถูกพิพากษาในปี 2010 ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ฆาตกรรม และทรมาณผู้อื่น คังก๊กเอียวเสียชีวิตเมื่อปี 2010 ขณะรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

ส่วน พล พต หัวหน้าเขมรแดงตัวจริง แม้จะถูกพิจารณาคดีแบบลับหลัง และถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และถูกตัดสินประหารชีวิตโดยศาลที่ทางการเวียดนามแต่งตั้งในปี 1979 แต่เขาไม่เคยถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อหน้าศาลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเลย จนกระทั่งเสียชีวิตกลางป่าเมื่อปี 1998 หลังเกิดการต่อสู้กันภายในกลุ่ม

 Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์