เหยื่อสแกมเมอร์ชาวฮ่องกงชื่อ ‘แนนซี’ ในวัย 20 กว่าๆ ออกมาเปิดใจเล่าเรื่องราวที่เธอเคยถูกหลอกไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา เธอไม่เคยคาดคิดว่างานใหม่ในต่างประเทศที่เธอสมัครไปหลังจากว่างงานจะนำไปสู่การบังคับใช้แรงงานในศูนย์หลอกลวง ซึ่งนับเป็นประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่กินเวลานานถึงครึ่งปีกว่าเธอจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
“การใช้ชีวิตที่นั่น มันเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย และฉันมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังใจล้วนๆ”
— แนนซี เล่า
แนนซีบอกว่า เธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ อีกหลายพันคนที่ถูกหลอกล่อไปยังศูนย์หลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความหวังว่าจะหาเงินได้เร็วๆ จนกระทั่งเพื่อนของเธอคนหนึ่งแนะนำให้เธอไปทำงานขายสินค้าข้ามพรมแดนในประเทศไทย แต่แล้วก็กลายเป็นว่า เธอกลับถูกพาตัวไปยังศูนย์หลอกลวงในเมียนมา ซึ่งเธอถูกบังคับให้พยายามหลอกลวงผู้คน โดยมุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันสูงอายุผู้มั่งคั่ง ผ่านกลโกงต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีชาวฮ่องกงอีกรายหนึ่งชื่อ ‘เอริค’ ในวัย 30 ปี ก็ตกเป็นเหยื่อของศูนย์หลอกลวงในเมียนมาหลายเดือนเช่นกัน ทั้งแนนซี และเอริค ต่างบอกว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่หลบหนีออกมาได้ในภายหลัง พวกเขาได้เล่ารายละเอียดสถานการณ์และการดำเนินงานของศูนย์หลอกลวงเหล่านี้เพื่อต้องการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของศูนย์หลอกลวง
เอริคและแนนซีเล่าว่า พวกเขาต้องทำงานให้สอดคล้องกับเวลาสหรัฐฯ ตั้งแต่ 22.00 ถึง 07.00 น. และอาจกินเวลานานถึง 18 ชั่วโมงหากพวกเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการหลอกลวงได้ ขณะที่เอริคเล่าต่อว่า นักต้มตุ๋นแต่ละคนจะได้รับโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่องและคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องเพื่อเชื่อมต่อกับ ‘ลูกค้าเป้าหมาย’ โดยใช้แอปพลิเคชันต่างๆ รวมถึง Tinder และ TikTok เพื่อค้นหาเป้าหมาย
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) ประจำวันของพวกเขาคือ ‘การได้รับหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ 2 หมายเลขจากผู้ติดต่อในแอปโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะนำไปพัฒนาเป็นเป้าหมายต่อไป’
ผู้สมัครระดับจูเนียร์อย่างแนนซีได้รับมอบหมายให้ติดต่อและสร้างคอนเนคชั่น จากนั้นจึงส่งต่อข้อมูลไปยังพนักงานระดับอาวุโสเพื่อดำเนินการหลอกลวง
ใครที่ทำผลงานได้ดี...จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

“ความสำเร็จจะมาพร้อมกับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ตัวอย่างเช่น การหลอกลวงเหยื่อด้วยเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.2 แสนบาท) จะทำให้ได้รับเงิน 10,000 หยวน (ราว 4.6 หมื่นบาท) ใครที่ทำผลงานได้ดี จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม และคอยดูแลพนักงานระดับจูเนียร์ประมาณ 6 คน...”
— ทั้งคู่ กล่าว
ในฐานะนักต้มตุ๋น แนนซีต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับความต้องการเอาชีวิตรอด “หนึ่งในเป้าหมายของฉัน ซึ่งเป็นช่างภาพ บอกฉันว่าเขาถูกหลอก 2 ครั้ง...และฉันยังต้องแสร้งทำเป็นจริงใจและใจดี แล้วหลอกเขาอีกครั้ง ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาชีวิตรอด” พร้อมเล่าต่อว่า เธอหลอกเหยื่อสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากเธอยังเป็นมือใหม่
แนนซีบอกอีกว่า เธอเห็นชายคนหนึ่งใส่ขาเทียม แต่ก็ยังคงถูกบังคับให้ทำงาน ชายคนนั้นขาข้างหนึ่งหัก เพราะถูกแก๊งอาชญากรทำร้ายร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ แล้วเขาก็เสียขาไป
นี่คือคำพูดที่เจ้านายของเธอมักพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “ตราบใดที่คุณมีมือ คุณก็ต้องทำงาน” แนนซีเล่าว่า เธอได้เรียนรู้ว่าบางคนที่ทนไม่ได้กับความรู้สึกสิ้นหวังและการลงโทษที่รุนแรง ได้เลือกจบชีวิตตัวเองที่นั่น
นอกจากการถูกทำร้ายร่างกายแล้ว การลงโทษทั่วไปอื่นๆ ได้แก่ การเฆี่ยนตี การช็อตไฟฟ้า หรือการขังไว้ในห้องกับหมีดำเป็นเวลา 1 คืน
แนนซีบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกมัดมือขึ้นเหนือหัว แล้วถูกแขวนไว้ในห้องมืดๆ และเท้าของเธอก็แทบไม่ถึงพื้น หลังจากที่เธอไม่สามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้ “ฉันร้องไห้ทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน เพราะครั้งหนึ่งฉันมองไม่เห็นความหวังที่จะได้ออกไปจากที่นี่เลย”
ทั้งเอริค และแนนซี เล่าว่า พวกเขาพักอยู่ในหอพักแบบโฮสเทล มีคน 8 คนพักอยู่ในห้องขนาด 800-1,000 ตารางฟุต และพวกเขามีเวลาว่าง 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมงทุกวันก่อนเวลานอนตามกำหนด นอกจากหอพักแล้ว เอริคยังบอกอีกว่า ศูนย์หลอกลวงแห่งนี้มีวิลล่าหรูและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความบันเทิง เช่น กาสิโน และแม้แต่ซ่องโสเภณีท้องถิ่น
“แม้ว่าศูนย์หลอกลวงจะมีร้านสะดวกซื้อสำหรับซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ราคากลับสูงมาก...” เอริค บอก
นอกจากนี้ เอริค และแนนซี ยังบอกอีกว่า “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัว และใครก็ตามที่ถูกจับได้ว่าพยายามหลบหนี จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง รวมถึงการถูกน้ำร้อนลวกผิวหนัง...ชายคนหนึ่งถูกน้ำร้อนลวกผิวหนังจนหมดสติไป จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาเพราะถูกน้ำราดใส่”
ใครก็ตามที่ทำผลงานได้ดีจะมีตัวเลือกความบันเทิงที่หลากหลายกว่า เช่น คาราโอเกะ และสามารถซื้อโทรทัศน์ของตัวเองได้ รวมถึงการไปเยี่ยมชมซ่อง หรือกาสิโนในเวลาว่าง หากพวกเขามีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว
“บางคนสนุกกับชีวิตมากจนไม่อยากไปจากที่นี่”
— เอริค กล่าว

สำหรับเอริคและแนนซีนั้น พวกเขากลับไม่มีความสุขเลย สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ ก็คือ ‘การไปจากที่นี่’
“ผมคิดว่าผมจะตายที่นั่นในขณะที่ผมกำลังหลบหนี” เอริค เล่า ซึ่งเขาสามารถหลบหนีออกมาได้ ในตอนแรกเขาพยายามผูกมิตรกับหัวหน้างานเพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมดูแลจะหละหลวม เพื่อที่เขาจะได้ใช้โทรศัพท์มือถือที่ทำงานอย่างลับๆ เพื่อขอความช่วยเหลือและติดต่อครอบครัว ซึ่งต่อมา เขาได้พยายามติดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อมาช่วยพาตัวเขาออกไป
จากนั้น เอริคก็ได้รับการปล่อยตัว หลังจากที่ครอบครัวของเขาจ่ายค่าไถ่มากกว่า 200,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 8.4 แสนบาท) ด้วยความช่วยเหลือจากคนกลาง เอริคเล่าว่า ทันทีที่เขาออกจากศูนย์หลอกลวงนั้น ก็พบว่าการเดินทางที่ยากลำบากและไม่แน่นอนก็เริ่มต้นขึ้น เนื่องจากเขาต้องเดินทางไปประเทศไทยด้วยตัวเอง
เอริค เล่าต่อว่า ระหว่างการเดินทาง 2 วัน เขาต้องเดินเท้าข้ามแม่น้ำท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก นั่งรถดันดิน และยังต้องตามคนขับรถที่เอเจนต์จัดหาให้ ซึ่งหายตัวไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงระหว่างการเดินทาง ทำให้เขาสิ้นหวังอย่างที่สุด
“ผมไม่รู้เลยว่าคนขับรถหายไปไหน และผมต้องรอเท่านั้น เพราะนั่นเป็นทางออกเดียว ผมกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้กลางทาง ผมต้องเดินฝ่าความมืดมิดไร้แสงและไร้ทิศทาง อาศัยเพียงสัญชาตญาณอันมืดบอดในการก้าวเดินต่อไป และผมรู้สึกผ่อนคลายตอนที่เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ประเทศไทย”
เอริคคิดว่าตัวเองโชคดี เพราะเขาเข้าใจว่ายังมีคนอีกประมาณ 8,000 คนอยู่ในศูนย์หลอกลวงตอนที่เขาจากไป ส่วนแนนซีนั้น หลบหนีออกมาได้อย่างไร ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องตัวตนของเธอ
“ฉันจะไม่บอกนายจ้าง (ที่อาจจะจ้างงาน) ว่าฉันเคยทำงานในศูนย์หลอกลวงเมื่อปีที่แล้ว ฉันจะโกหกและบอกว่าฉันมาทำงานในช่วงวันหยุด...ฉันกำลังฟื้นตัวจากบาดแผลทางใจ แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันได้เห็นว่าครอบครัวรักฉันมากแค่ไหน”
— แนนซี เล่า พร้อมอธิบายว่า เธอหวังว่าจะหลีกเลี่ยงสายตาแปลกๆ ระหว่างการสัมภาษณ์งาน
(Photo by : LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP)


