หมอกควันพิษกลับมาปกคลุมกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนามอีกครั้ง จนทางการต้องเรียกร้องให้ประชาชนที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจอยู่แต่ในบ้าน พร้อมกับกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อจัดการกับมลพิษทางอากาศ
ทางการฮานอยวางแผนที่จะใช้ระบบตรวจสอบระยะไกล ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิด และกล้องจราจรที่ผสานรวม AI เพื่อติดตามและปราบปรามยานพาหนะที่ก่อมลพิษ พร้อมทั้งตรวจสอบการเผาขยะ ฟางข้าว และผลผลิตทางการเกษตรผิดกฎหมาย
ข้อมูลการตรวจสอบแสดงให้เห็นว่า “ค่าดัชนี IQAir ของกรุงฮานอยแตะระดับสีแดง ‘ไม่ดีต่อสุขภาพ’ ติดต่อกัน 9 วันแล้ว” แถมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมืองหลวงแห่งนี้ยังติดอันดับ 1 ใน 10 ‘เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก’ อย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่า “สภาพอากาศจะเลวร้ายลงอีก”
อย่างไรก็ดี มลพิษทางอากาศของฮานอยมักพุ่งสูงขึ้นทุกครั้งในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากมลพิษจากการจราจร ฝุ่นจากอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และควันจากการเผาขยะในภาคเกษตรกรรมในจังหวัดใกล้เคียง จึงก่อให้เกิดหมอกควันหนาทึบ ขณะที่ระดับ PM2.5 ก็สูงจนเป็นอันตราย และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง
สำหรับมาตรการรับมือกับฝุ่นพิษเร่งด่วนระบุว่า “ผู้รับเหมาก่อสร้างทุกรายจะต้องดำเนินมาตรการควบคุมฝุ่นละอองอย่างเข้มงวด ปลูกต้นไม้เพิ่ม และสร้างระบบตรวจวัดฝุ่นละอองในโครงการขนาดใหญ่ทุกโครงการที่มีพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตร ส่วนโครงการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดก็จะถูกระงับ”
ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขฮานอยได้แจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และบุคคลที่มีความเสี่ยง ให้งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมหน้ากากอนามัยในช่วงที่มีมลพิษทางอากาศสูง
นอกจากนี้ โรงเรียนต่างๆ ก็ได้รับคำสั่งให้งดกิจกรรมกลางแจ้งในสภาวะที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ ‘แย่’ หากว่าคุณภาพอากาศแตะระดับรุนแรงที่ประมาณ 301 โรงเรียนอาจต้องหยุดเรียน หรือเปลี่ยนแปลงตารางเรียน
เวียดนามได้อนุมัติแผนรับมือมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ตั้งแต่ปี 2026-2030 โดยมีแผนเลิกใช้มอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเบนซินในเขตใจกลางกรุงฮานอยภายในเดือนกรกฎาคม 2026 ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 ดัชนีคุณภาพอากาศในฮานอยอย่างน้อย 80% จะอยู่ในระดับดี หรือปานกลาง
“มลพิษทางอากาศในเวียดนามเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอย่างน้อย 70,000 รายต่อปี และทำให้อายุขัยเฉลี่ยลดลง 1.4 ปี”
— ข้อมูลของสหประชาชาติ ระบุ
(Photo by Nhac NGUYEN / AFP)



