รัฐบาลทรัมป์จะยังคงหยุดทำงานต่อไปอย่างน้อยจนถึงสัปดาห์หน้า หลังจากที่วุฒิสมาชิกได้ลงมติเป็นครั้งที่ 4 เมื่อวันศุกร์ (3 ต.ค.) ที่ผ่านมา ‘ปฏิเสธ’ ร่างงบประมาณที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันเสนอ
หากรัฐบาลยังคงปิดทำการในวันจันทร์ (6 ต.ค.) การชัตดาวน์ครั้งนี้จะยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 10 ในประวัติศาสตร์อเมริกา
— ตามการวิเคราะห์ของ NBC News ระบุ
สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น อนุสาวรีย์วอชิงตัน ถูกปิด ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการจ้างงานถูกเลื่อนออกไป และเว็บไซต์อย่างเป็นทางการบางแห่งก็หยุดชะงัก แม้ว่าหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลจะยังไม่ได้รับผลกระทบ
พนักงานประมาณ 750,000 คน มีแนวโน้มที่จะถูกพักงานชั่วคราว (แต่จะได้รับเงินย้อนหลัง หลังรัฐบาลทรัมป์กลับมาทำงานได้ตามปกติ) เนื่องจากวิกฤตงบประมาณที่ลุกลามเพิ่มขึ้น
ผู้นำวุฒิสภาไม่มีแผนที่จะให้สภาสูงของรัฐสภาประชุมต่อในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งหมายความว่าการลงมติเมื่อวันศุกร์ (3 ต.ค.) ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเป็นโอกาสสุดท้ายของสัปดาห์ที่จะยุติวิกฤตการณ์นี้
ประเด็นสำคัญของความขัดแย้งคือ ข้อเรียกร้องของพรรคเดโมแครตที่ให้ขยายระยะเวลาการอุดหนุนด้านการดูแลสุขภาพกำลังจะหมดอายุลง ซึ่งถ้าหมดลงจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับชาวอเมริกันรายได้น้อยนับล้านคน
พรรครีพับลิกัน ซึ่งควบคุมทั้งสภานิติบัญญัติและทำเนียบขาวได้ประกาศแผนงานที่จะแก้ไขปัญหานี้ไว้แล้ว แต่ถึงกระนั้นรีพับลิกันก็ยังต้องการคะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตในร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐบาล
ขณะเดียวกันพรรคเดโมแครตก็กำลังพยายามบีบให้พรรครีพับลิกันยอมด้วยการขัดขวางร่างกฎหมายงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์ ซึ่งต้องการเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วน
ทำเนียบขาวกล่าวว่า “ท่าทีของพรรคเดโมแครตนั้น ‘เจตนาทำลายประเทศของเรา’” ขณะที่ แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “ความบ้าคลั่งนี้ต้องยุติลง ประธานาธิบดีทรัมป์และพรรครีพับลิกันกำลังเรียกร้องให้พรรคเดโมแครตเปิดรัฐบาลอีกครั้งในทันทีเพื่อประโยชน์ของประชาชนอเมริกัน”
ท่ามกลางความผิดหวังอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว พรรครีพับลิกันแสดงความหวังว่าความล้มเหลวครั้งล่าสุดนี้อาจผลักดันให้กลุ่มสายกลางในฝ่ายค้านบางคนตัดสินใจลาออก “หวังว่าในช่วงสุดสัปดาห์นี้ พวกเขาจะมีโอกาสได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” จอห์น ธูน ผู้นำวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน กล่าว
(Photo by WIN MCNAMEE / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)


