คณะกรรมการที่ปรึกษาที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในเยอรมนีได้เสนอให้ ‘เพิ่มอายุเกษียณ’ เป็น 73 ปี ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวสอดคล้องกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินอยู่ และมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสังคมของประเทศ
ประชากรที่มีอายุมากขึ้นของเยอรมนีได้รับการยอมรับว่าเป็นปัญหามานานแล้ว อายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 46.7 ปี ซึ่งสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และสูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่รองจากญี่ปุ่นและอิตาลี ภายในปี 2040 คาดว่ามีประชากรราว 1 ใน 4 ที่จะมีอายุ 67 ปีขึ้นไป โดยในปีนี้พบว่า อัตราการเกิดลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี
เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ยังมีคนทำงานที่มีประกันสังคมอยู่ 6 คนต่อผู้รับบำนาญ 1 คน ซึ่งปัจจุบันอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2 ต่อ 1 และกำลังลดลงเรื่อยๆ และในปี 2025 งบประมาณของกระทรวงแรงงาน 2 ใน 3 จะถูกนำไปใช้ในระบบบำนาญ คิดเป็น 1.21 แสนล้านยูโร (ราว 4.5 ล้านล้านบาท)
“ในระยะยาวแล้ว การทำงานเพียง 2 ใน 3 ของชีวิตผู้ใหญ่ และใช้เวลา 1 ใน 3 ไปกับวัยเกษียณนั้นไม่สามารถยั่งยืนได้ น่าเสียดายที่หลายคนไม่ยอมรับความเป็นจริงทางประชากรศาสตร์มานานเกินไป” แคทเธอรีนา ไรเคอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนี กล่าว
“การเพิ่มอายุการทำงานเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาประชากรศาสตร์ที่ก่อกวนเยอรมนีมายาวนาน”
— คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายสถาบัน ระบุ
ผลการศึกษาของคณะกรรมการเน้นย้ำว่าการเติบโตของผลิตภาพของเยอรมนียังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เทียบเคียงได้ พวกเขายืนยันว่าหากประเทศต้องการรักษาสวัสดิการสังคมโดยไม่เพิ่มภาระให้กับคนรุ่นหลัง จำเป็นต้องมีอายุการทำงานที่ยาวนานขึ้น
แต่สหภาพแรงงานเผยว่า “แผนของไรเคอเป็นเพียงวิธีใหม่ในการลดเงินบำนาญ คนงานหลายคนจะไม่สามารถทำงานจนถึงอายุที่สูงขึ้นได้ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ทำให้พวกเขาต้องเกษียณอายุก่อนกำหนด และต้องยอมรับการหักเงินที่ทำให้เงินบำนาญลดลงอย่างถาวร”
ขณะที่ แจน ชาร์เพนเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านเงินบำนาญจากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ‘Finanztip’ เชื่อมั่นว่า “ระบบเงินบำนาญของเยอรมนีจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน แต่การถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย”
โยฮันเนส เกเยอร์ นักวิจัยเศรษฐศาสตร์สาธารณะประจำสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเยอรมัน (DIW) ชี้ให้เห็นว่าเหตุผลที่ประเด็นเรื่องอายุเกษียณเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากนั้น เป็นเพราะว่ามันส่งผลกระทบต่อคนงานแตกต่างกัน “มีคนจำนวนมากที่นึกภาพตัวเองไม่ออกว่าจะทำงานหลังอายุ 67 ปีได้อย่างไร แต่คนทำงานที่มีเงินเดือนสูงกว่านั้นสามารถทำได้” โยฮันเนส เกเยอร์ กล่าว
รายงานฉบับดังกล่าวเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของการปฏิรูปเหล่านี้ โดยระบุว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อายุเกษียณอาจเพิ่มขึ้นเป็น 73 ปีภายในปี 2060 หากแนวโน้มอายุขัยยังคงเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจรจาระดับชาติเกี่ยวกับอนาคตของการทำงานและเงินบำนาญในเยอรมนี โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อเทียบระบบบำนาญเยอรมนี กับต่างประเทศ...
ระบบเงินบำนาญของเยอรมนีมีโครงสร้างที่แตกต่างอย่างมากจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเดนมาร์ก ซึ่งอายุเกษียณจะเชื่อมโยงกับอายุขัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เยอรมนีนำแนวทางที่คล้ายกันมาใช้ โดยในเดนมาร์กนั้น อายุเกษียณจะถูกกำหนดให้เพิ่มขึ้นเป็น 70 ปีภายในปี 2040 ถือเป็นการปฏิรูปที่รัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว สะท้อนถึงท่าทีเชิงรุกต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากร
ส่วนในสวีเดน เงินสมทบของบุคคลจะถูกนำไปลงทุนในตลาดการเงินต่างๆ และผลกำไรจะถูกจ่ายออกไปเมื่อบุคคลนั้นถึงวัยชรา
“นั่นช่วยกระจายความเสี่ยง พวกเขาจึงไม่ต้องพึ่งพาประชากรสูงอายุของตัวเองมากนัก” เกเยอร์ กล่าว ในทางกลับกัน ในระบบของเยอรมนี เงินสมทบจากแรงงานจะถูกนำไปรวมไว้ในกองทุนเดียว ซึ่งใช้เป็นเงินทุนสำหรับเงินบำนาญในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เกเยอร์แย้งว่า ต่างจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป เยอรมนีล้มเหลวในการพัฒนาทางเลือกประกันสุขภาพเอกชนเพื่อเสริมเงินบำนาญของรัฐ เพื่อช่วยเหลือประชากรทั้งหมด แทนที่จะช่วยเหลือเฉพาะคนรวย
“ประเทศอื่นๆ ทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวีเดน ล้วนมีระบบประกันสุขภาพภาคบังคับที่มีต้นทุนค่อนข้างต่ำและให้ผลกำไรที่ดี แต่สิ่งเหล่านี้กลับหายไปในเยอรมนี”
— เกเยอร์ กล่าว
Photo by : Shutterstock / PeopleImages


