ชาวไทย-กัมพูชาในศูนย์พักพิงเปิดใจ “สงครามจบเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อยากใช้ชีวิตสงบ”

12 ธ.ค. 2568 - 08:05

  • ชาวไทย-กัมพูชาในศูนย์พักพิงเปิดใจ “สงครามจบเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อยากกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

  • ขณะที่ผลสำรวจชี้ว่า คนไทยหลายคนไม่เชื่อมั่นในการแทรกแซงของทรัมป์ในความขัดแย้งครั้งนี้ และเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า “การแทรกแซงของทรัมป์เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจ ไม่ใช่เพื่อประเทศไทย”

  • “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่และนอนบนพื้นแบบนี้อีกแล้ว ฉันอยากให้สงครามจบลง เพื่อที่ฉันจะได้กลับบ้าน” หญิงชาวกัมพูชาคนหนึ่ง บอก

ชาวไทย-กัมพูชาในศูนย์พักพิงเปิดใจ “สงครามจบเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อยากใช้ชีวิตสงบ”

“บางครั้งเมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ร้องไห้ออกมา ทำไมคนไทยกับคนกัมพูชา ซึ่งเสมือนพี่น้องกันถึงต้องทะเลาะกัน? แค่พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็อยากร้องไห้แล้ว”  

นี่เป็นหนึ่งในบอกเล่าของนายอำนาจ ชายชาวไทยวัย 73 ปี ที่บอกความในใจถึงสถานการณ์ปะทะชายแดนที่ปะทุขึ้นใหม่อีกครั้ง 

การปะทะกันรอบล่าสุดระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านปะทุขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.) ทำให้ข้อตกลง ‘หยุดยิง’ ที่เปราะบางต้องหยุดชะงักลง เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวเมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ว่า “มีประชาชนประมาณ 400,000 คนอพยพไปยังศูนย์พักพิง” ขณะที่กัมพูชารายงานว่า “มีผู้พลัดถิ่นมากกว่า 127,000 คน” 

“ผมเอามาได้แค่เสื้อผ้า ผมลืมล็อกประตูด้วยซ้ำตอนที่ออกจากบ้าน” นายอำนาจเล่า ขณะที่ ธิดารัตน์ ก็ได้รับคำเตือนเมื่อวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.) ว่าให้ออกจากบ้านของเธอซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 15 กิโลเมตร ธิดารัตน์เล่าทั้งน้ำตาว่า เธอหนีออกมาโดยไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงของเธอมาด้วย พร้อมทั้งบอกอีกว่า การมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงในโรงยิมร่วมกับคนอื่นๆ อีกกว่า 500 คนนั้นห่างไกลจากความสะดวกสบาย แต่ก็มีอาหารให้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครก็ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ 

“บางทีอาจเป็นเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ ฉันเชื่อว่าพวกเราหลายคนสามารถปรับตัวได้ แม้ว่าไม่มีใครอยากปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ฉันก็จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่งั้น มันจะเครียดจนเกินไป”

ธิดารัตน์ บอก 

ขณะเดียวกัน นายรังสรรค์ ชายชาวไทยวัย 50 ปี ก็เล่าว่า ตั้งแต่มีเสียงประกาศเตือนให้อพยพอีกครั้ง เขาและเพื่อนบ้านอีกหลายคนในพื้นที่ชายแดนของประเทศไทยต่างก็รีบเก็บกระเป๋าเดินทาง เพราะกลัวว่า ‘ข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาจะพังทลายลงในไม่ช้า’ 

“ข้อตกลงหยุดยิงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ประกาศตัวเองว่าเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ หลังจากช่วยยุติการปะทะกันอย่างรุนแรงนาน 5 วันเมื่อเดือนกรกฎาคมนั้น ดูเหมือนจะ ‘เปราะบาง’ ตั้งแต่เริ่มต้น...ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันตลอดเวลา”

นายรังสรรค์ กล่าว 

“ถ้าเขา (ทรัมป์) มีอำนาจในการแก้ไขความขัดแย้ง ก็คงไม่มีสงครามแบบนี้ในตอนนี้” พัชรี หญิงชาวไทยวัย 45 ปี กล่าว เธอเล่าว่า เธอออกจากบ้านเมื่อวันจันทร์ (8 ธ.ค.) ทันทีที่เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วหมู่บ้านของเธอ 

“เมื่อ 4 เดือนก่อน การปะทะรุนแรงมากจนบ้านของฉันสั่นสะเทือนไปหมด...ฉันว่าฉันชินแล้วล่ะ แต่ฉันก็กลัวว่าการสู้รบอาจยืดเยื้อไปอีกหลายเดือน...ฉันคงหาเลี้ยงชีพไม่ไหว” พัชรี กล่าว พร้อมบอกว่า เธอและเพื่อนบ้านอีกหลายคนไม่มีรายได้ประจำ ต้องพึ่งพาการทำงานรายวัน และเธอแค่ต้องการให้สถานการณ์นี้จบลง “ยิ่งจบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” พัชรี บอก 

จากผลสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคมพบว่า : 

  • มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า “ประเทศไทยไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยวกับกัมพูชา” 
  • หลายคน ‘ไม่เชื่อมั่น’ ในการแทรกแซงของทรัมป์ในความขัดแย้งครั้งนี้ 
  • เกือบ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า “การแทรกแซงของทรัมป์เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจ ไม่ใช่เพื่อประเทศไทย” 
  • มีเพียงไม่ถึง 10% ที่เห็นด้วยว่า “การมีส่วนร่วมดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูสันติภาพ” 

“แต่ละคนก็มีความคิดเห็นของตัวเอง...แต่สำหรับฉัน ฉันไม่อยากให้ใครต้องสูญเสีย ฉันรู้สึกเสียใจกับทหาร ครอบครัว และลูกๆ ของพวกเขา ทหารกัมพูชาก็มีครอบครัวเช่นกัน ฉันคิดว่าพวกเขา (ชาวกัมพูชา) เองก็ไม่ต้องการสงคราม”

 รินดา หญิงชาวไทยวัย 44 ปี บอก 

อย่างไรก็ดี ชาวไทยบางคนก็ตั้งคำถามว่า ‘การเจรจาจะประสบความสำเร็จหรือไม่?...ไม่ว่าจะมีการแทรกแซงจากทรัมป์ หรือฝ่ายอื่นๆ ก็ตาม’“มันจะไม่จบลงไม่ว่าจะมีกี่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องในวงเจรจา จะ 2 หรือ 3 ประเทศ มันก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การพูดคุยดูเหมือนจะไม่เคยนำไปสู่สิ่งใดเลย” นายรังสรรค์ กล่าว 

ชาวกัมพูชาเปิดใจ “การใช้ชีวิตในศูนย์พักพิงนั้นค่อนข้างลำบาก” 

   (Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP)
(Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP)

ชาวกัมพูชาหลายคนบอกว่า พวกเขาออกจากบ้านอย่างเร่งรีบหลังจากได้ยินเสียงปืนในวันจันทร์ (8 ธ.ค.) ซึ่งส่วนใหญ่ พวกเขามักหาที่หลบภัยในทุ่งโล่ง และกางเต็นท์ หรือสร้างที่พักชั่วคราวด้วยการเย็บผ้าใบกันน้ำให้ติดกัน แล้วยึดกับท้ายรถบรรทุกเพื่อป้องกันลม  

เหลือง โซธ หญิงชาวกัมพูชาเดินทางมาถึงบริเวณริมถนนในอำเภอศรีสนาม ประเทศกัมพูชา พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน เธอเล่าว่า สภาพความเป็นอยู่นั้นค่อนข้างยากลำบาก และเธอภาวนาขอให้การสู้รบยุติลงโดยเร็วที่สุด 

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่และนอนบนพื้นแบบนี้อีกแล้ว ฉันอยากให้สงครามจบลง เพื่อที่ฉันจะได้กลับบ้าน”

เหลือง โซธ บอก 

“เจ้าหน้าที่บอกว่ามันไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว” เซอต์ โซเอิง ชาวกัมพูชาวัย 30 ปี บอก ขณะที่ตำรวจนายหนึ่งไม่เปิดเผยชื่อเผยว่า “ครอบครัวผู้พลัดถิ่นถูกอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังจากเครื่องบินรบของไทยบินผ่านใกล้ๆ”  

“มันยากลำบากมากที่จะอยู่ที่นี่ในสภาพแบบนี้ มันไม่มีข้าว ไม่มีอาหาร ไม่มีเงิน...และมันไม่มีแม้แต่น้ำดื่มด้วยซ้ำ” เชย์ เรย์ ชายชาวกัมพูชาวัย 54 ปี บอก 

“ดูเหมือนยังไม่มีวี่แววว่าผู้ที่อพยพจะสามารถกลับบ้านได้เมื่อใด เนื่องจากผู้นำของทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมถอย ผมอยากให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด เพื่อที่ผมจะได้กลับบ้านไปทำไร่ทำนา เลี้ยงสุนัขและไก่ของผม พวกมันอยู่ที่บ้านโดยไม่มีใครดูแล”  

ไท เจีย ชายชาวกัมพูชา กล่าว

(Photo by LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์