เมื่อการพังทลายของ ‘ข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบาง’ ระหว่างไทยและกัมพูชาได้ทำให้ข้อพิพาทชายแดนกลับเข้าสู่ภาวะวิกฤตอีกครั้ง จนเกิดการตั้งคำถามที่ตามมาว่า ‘อาเซียนจะสามารถรับมือกับความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างสองประเทศสมาชิกได้หรือไม่?’
ข้อตกลงหยุดยิงก่อนหน้า ซึ่งได้รับการไกล่เกลี่ยเมื่อเดือนกรกฎาคมโดยนายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จากนั้นทั้งไทยและกัมพูชาก็ลงนามร่วมกันในปฏิญญาที่เรียกว่า ‘ปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์’ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยในครั้งนั้น อาเซียนยังถูกมองว่า ‘มีความสามารถในการไกล่เกลี่ยประนีประนอมความขัดแย้งได้’
แต่ดูเหมือนว่าการพังทลายอย่างรวดเร็วของข้อตกลงดังกล่าวกลับเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าอาเซียนยังคงพึ่งพา ‘การทูตเฉพาะกิจของประธานอาเซียน’ มากเพียงใด และแทบไม่มีศักยภาพเพียงพอในการบังคับใช้ข้อตกลงใดๆ เมื่อการสู้รบกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง
“การปะทะกันที่เกิดขึ้นอีกครั้งนี้ถือเป็น ‘การยกระดับความรุนแรงอย่างร้ายแรง’ และหากอาเซียนหวังจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง อาเซียนก็จำเป็นต้องก้าวให้ไกลกว่าการออกแถลงการณ์ และต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและประสานกันอย่างใกล้ชิด”
— โจแอนน์ หลิน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน ‘ISEAS–Yusof Ishak’ ศูนย์ศึกษาอาเซียน กล่าว
การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ถือเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อมานานนั้นสามารถบานปลายได้อย่างรวดเร็วเพียงใด
ไม่เพียงเท่านี้ แต่ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศยังลามไปถึงวงการกีฬาอย่างการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อวันอังคาร (9 ธ.ค.) ที่ผ่านมา แต่นักกีฬากัมพูชาก็แค่มาร่วมเดินขบวนในพิธีเปิดเท่านั้น และเพียง 1 วันจากพิธีเปิด พวกเขาก็ประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย
หลิน กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างปฏิเสธไม่ได้ที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ซึ่งควรเป็นเวทีแสดงมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
“การถอนตัวของนักกีฬากัมพูชาเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องจากกระแสชาตินิยมในประเทศไทยกำลังรุนแรง และกัมพูชาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนักกีฬาและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาคว้าชัยชนะในการแข่งขันบนแผ่นดินไทย”
“ขณะนี้ดูเหมือนว่าจังหวะของเหตุการณ์ต่างๆ กำลังถูกกำหนดโดยฝ่ายผู้บัญชาการทหารมากกว่ารัฐบาล หรือคณะทูตของแต่ละประเทศ ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์มีความเสี่ยงและอันตรายมากขึ้นไปอีก...หากสถานการณ์ตึงเครียดลุกลามและมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น กระแสชาตินิยมในประเทศก็จะถูกปลุกเร้าเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือ การลดระดับความตึงเครียดก็จะยิ่งทำได้ยากขึ้น และเงื่อนไข หรือเกณฑ์สำหรับการหาข้อยุติก็จะยิ่งสูงและซับซ้อนมากขึ้น”
— หลิน เผย
อาเซียนจำเป็นต้องเดินหน้ากดดันให้มีการเจรจาต่อไป...

เนื่องจากความขัดแย้งยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง นักวิเคราะห์กล่าวว่า “อาเซียนจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง ‘มากกว่าที่เคย’”
“การโจมตีไม่น่าจะ ‘ยุติ’ ลงในเร็วๆ นี้ เนื่องจากรัฐบาลทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความขัดแย้งนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็มีความกังวลเกี่ยวกับการยกระดับความขัดแย้งก่อนที่จะเกิดการโจมตีด้วย” บริดเจ็ท เวลช์ นักวิจัยกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มาเลเซีย กล่าว
เวลช์ ระบุว่า “การยกระดับปฏิบัติการของไทยเป็นการตอบโต้ต่อ ‘การที่อีกฝ่ายยังคงใช้ทุ่นระเบิดสังหาร’ และการสูญเสียชีวิตของทหารไทย...การกระทำของทั้งสองฝ่ายในความขัดแย้งนี้ล้วนมีส่วนทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้”
“ไทยกำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่ยอมรับการกระทำเหล่านี้ พร้อมกันนั้นก็สามารถขยายพื้นที่ยึดครองเพิ่มขึ้นได้ด้วยศักยภาพทางทหารที่เหนือกว่า”
“อาเซียนจำเป็นต้องเดินหน้ากดดันให้มีการเจรจาต่อไป และเรียนรู้จากสิ่งที่ทำพลาดในข้อตกลงก่อนหน้า โดยเฉพาะข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามกันที่กัวลาลัมเปอร์ในปีนี้... หากต้องการให้การหยุดยิงยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ เข้ามามีบทบาทด้วย เช่น ภาคประชาสังคม เพื่อช่วยเสริมฐานการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ”
— เวลช์ กล่าว
เวลช์ บอกอีกว่า “ภูมิภาคนี้ควรเรียนรู้จากข้อตกลงสันติภาพที่ไกล่เกลี่ยในไอร์แลนด์เมื่อปี 1998 ซึ่งช่วยยุติความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และชาตินิยมที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ”
แต่หลินเตือนว่า “การปะทะกันรอบล่าสุดได้บ่อนทำลายความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่ายจนอยู่ในระดับที่ว่า แม้เหตุการณ์เล็กน้อยก็อาจลุกลามกลายเป็นการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ได้ หากไม่มี ‘กระบวนการไกล่เกลี่ยที่น่าเชื่อถือ’ เข้ามาแทรกแซง”
“สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การ ‘ยุติ’ การโจมตีทางอากาศให้ได้ และให้อำนาจคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนทำงานในพื้นที่ต่อไป เพื่อให้มีแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง แล้วก็ควรเรียกประชุมรัฐมนตรีอาเซียนฉุกเฉินเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองให้ทั้งสองฝ่ายถอยยอมถอยคนละก้าว”
— หลิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานอาเซียนจาก‘มาเลเซีย’ ไปเป็น ‘ฟิลิปปินส์’ อาจก่อให้เกิดความท้าทาย เนื่องจากมาเลเซีย ‘มีบทบาทและทุ่มเทอย่างมาก’ ในกระบวนการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ ดังนั้นจึงเร็วเกินไปที่ฟิลิปปินส์จะเข้ามาเป็นผู้นำได้อย่างเต็มที่ และก็สายเกินไปที่มาเลเซียจะต้องมา ‘แบกรับภาระต่อไป’ ผู้เดียว
หลิน แสดงความเห็นว่า “เส้นทางที่เป็นไปได้สำหรับอาเซียนคือ ทั้งสองประเทศต้องทำงานร่วมกัน โดยให้มาเลเซียดำเนินการผลักดันทางการทูตต่อไป ในขณะที่ฟิลิปปินส์เข้ามาช่วยประคองความต่อเนื่องในระยะถัดไป ในฐานะประธานอาเซียนคนใหม่”
“โดยภาพรวมแล้ว วิกฤตครั้งนี้ควรเป็นแรงกระตุ้นให้อาเซียนต้องทบทวนแนวทางของตัวเองว่า อาเซียนไม่อาจพึ่งพา ‘การทูตเฉพาะกิจของประธานอาเซียน’ ไปตลอดได้” หลิน กล่าว พร้อมเรียกร้องให้มีเครื่องมือจัดการความขัดแย้งที่มีโครงสร้างชัดเจนมากขึ้น เพื่อไม่ให้กลุ่มอาเซียนตกอยู่ในภาวะตั้งรับทุกครั้งที่ประเทศสมาชิกเผชิญความขัดแย้งกันเอง
(Photo by : AFP)



