หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในเอเชีย และยุโรป แน่นอนว่าประเทศส่วนใหญ่จึงออกมาตรการ ‘เพิ่มอายุเกษียณ’ เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ซึ่งนั่นทำให้พลเมืองบางประเทศไม่พอใจจนต้องออกมาประท้วง ขณะที่ประเทศกลุ่มนอร์ดิกก็ยังคงมีระบบการจัดการที่ดีแม้จะเพิ่มอายุเกษียณไปจนถึง 68 ปี แต่ประเทศเหล่านี้ยังได้รับการจัดอันดับว่า ‘มีระบบบำนาญดีที่สุดในโลก’
SPACEBAR จะพาไปสำรวจว่า ประเทศไหนบ้าง? ที่มีระบบบำนาญทั้ง ‘ดีและแข็งแกร่ง’ ที่สุดในโลก...จากดัชนีเปรียบเทียบระบบบำนาญทั่วโลก (Mercer CFA Institute Global Pension Index)

1.) เนเธอร์แลนด์ / 84.8 คะแนน / เกรด A
ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบบำนาญเนเธอร์แลนด์อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกมาโดยตลอด และในปี 2024 ก็คว้าอันดับ 1 ไปครองแบบสบายๆ ด้วยคะแนนดัชนีรวม 84.8 คะแนน ซึ่งสูงกว่าอินเดียที่อยู่ในอันดับต่ำสุดเกือบ 2 เท่า
ระบบบำนาญในเนเธอร์แลนด์ประกอบด้วย 3 เสาหลัก :
- ระบบบำนาญของรัฐ (AOW) : ทุกคนที่อาศัยและ/หรือทำงานในเนเธอร์แลนด์ในช่วง 50 ปีก่อนถึงอายุเกษียณของ AOW มีสิทธิ์ได้รับเงินบำนาญ AOW
- ระบบบำนาญเอกชนที่ลูกจ้างสะสมไว้ผ่านนายจ้าง : บริษัทจ่ายเงินกองทุนบำนาญรายเดือนให้กับพนักงาน รายได้จากการลงทุนของกองทุน จะนำไปใช้จ่ายเงินบำนาญให้กับผู้เกษียณในปัจจุบันและอนาคต
- ระบบบำนาญส่วนบุคคลตามความสมัครใจ : ส่วนใหญ่ใช้โดยผู้ประกอบอาชีพอิสระและพนักงานในภาคส่วนที่ไม่มีแผนบำนาญรวม เป็นการลงทุนด้วยตัวเอง เช่น ประกันชีวิต หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนเธอร์แลนด์นั้นมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาประชากรสูงอายุได้ดีกว่า เนื่องจากใช้รูปแบบกองทุนบำเหน็จบำนาญที่หลากหลาย และมีนโยบายที่สอดคล้องและกระจายความเสี่ยง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าแม้ประชากรจะอายุมากขึ้น แต่เงินบำนาญคุณภาพสูงก็ยังคงเป็นไปได้ ขณะเดียวกัน อายุเกษียณปกติของคนที่นี่ก็อยู่ที่ราว 68 ปี แต่สามารถรับสิทธิประโยชน์ได้เร็วขึ้นถึง 10 ปี หรือเลื่อนออกไปได้ 5 ปี ถือเป็นระบบที่ให้ความยืดหยุ่นอย่างมาก
ผู้เกษียณอายุสามารถรับเงินบำนาญได้แม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์หลังเกษียณอายุแล้วก็ตาม พวกเขาสามารถเลือกอยู่ในประเทศใดก็ได้เพื่อรับเงินบำนาญ และสามารถเลือกประเทศที่รับเงินบำนาญได้
2.) ไอซ์แลนด์ / 83.4 คะแนน / เกรด A

ไอซ์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบบำนาญคุณภาพติดอันดับต้นๆ ของโลกด้วยเช่นเดียวกัน โดยในปี 2024 เป็นรองเนเธอร์แลนด์ห่างกันแค่ 1 คะแนนเท่านั้นได้ไป 83.4 คะแนน
ระบบบำนาญของไอซ์แลนด์แบ่งออกเป็น 3 เสาหลัก :
- สวัสดิการที่จัดหาโดยภาครัฐและสวัสดิการที่ประเมินรายได้ ถ่วงน้ำหนักตามอัตราเงินเฟ้อ
- กองทุนบำนาญอาชีพ ซึ่งบำนาญในอาชีพต้องมีการสมทบเงินเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 40 ปีสำหรับพนักงานในภาคเอกชน และ 32 ปีสำหรับพนักงานในภาครัฐ
- เงินบำนาญเอกชนที่ได้รับการอนุมัติโดยสมัครใจจากรัฐบาล ซึ่งมีชาวไอซ์แลนด์ประมาณ 60% เข้าร่วมโครงการนี้
อย่างไรก็ดี ระบบบำนาญที่นี่มีอัตราการทดแทนเงินเดือนขั้นต้นที่สูงกว่าระบบบำนาญส่วนใหญ่ของยุโรป แม้ว่าจะมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แถมอายุเกษียณก็มีความยืดหยุ่น โดยอนุญาตให้เบิกเงินบำนาญได้ตั้งแต่อายุ 65-70 ปี
3.) เดนมาร์ก / 81.6 คะแนน / เกรด A

ระบบบำนาญที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อปี 2024 ยังคงเป็นประเทศจากกลุ่มนอร์ดิกอย่าง ‘เดนมาร์ก’ ที่คว้าไป 81.6 คะแนน ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกรด A
ระบบของเดนมาร์กมีความคล้ายคลึงกับระบบที่ธนาคารโลกสนับสนุนในปี 1994 โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญระดับนานาชาติในการจัดตั้งระบบบำนาญแบบหลายแง่มุมโดยอิงจากแผนสวัสดิการผู้สูงอายุของรัฐ เพื่อครอบคลุมความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุ
ระบบบำนาญในเดนมาร์กแบ่งออกเป็น 2 ส่วน :
- ) เงินบำนาญของรัฐ
- เงินบำนาญสังคมสากล โดยประเภทนี้จะจ่ายให้ผู้เกษียณอายุ 67 ปีขึ้นไป
- เงินบำนาญอาชีพ เป็นเงินบำนาญอีกประเภทหนึ่ง ครอบคลุมแรงงานชาวเดนมาร์กเกือบ 90%
- ) เงินบำนาญส่วนบุคคล และเงินบำนาญเสริม
- เงินบำนาญส่วนบุคคล ได้รับแรงบันดาลใจจากการพิจารณาภาษี ซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากโครงการอาชีพ
- กองทุนบำเหน็จบำนาญเสริมตลาดแรงงาน : สำหรับโครงการบำนาญเสริมที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘กองทุนบำนาญเสริมตลาดแรงงาน’ (Arbejdsmarkedets Tillaegspension / ATP) โดยการจ่ายเงินบำนาญนี้จะพิจารณาจากเงินสมทบของแต่ละบุคคล
- กองทุนบำเหน็จบำนาญพนักงาน (Lønmodtagernes Dyrtidsfond / LD) ก่อตั้งขึ้นในปี 1978 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นมาตรการทางนโยบายเศรษฐกิจ เมื่อค่าแรงถูกปรับเพิ่มหลายครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1970 รัฐบาลเดนมาร์กตัดสินใจให้ปรับราคาได้เพียงครั้งเดียวต่อปี ส่วนที่เหลือจะถูกแช่แข็งและเก็บไว้ในบัญชีส่วนตัวของ LD จนกว่าจะถึงวัยเกษียณ
- เงินออมบำนาญพิเศษ : โครงการออมทรัพย์บำเหน็จบำนาญพิเศษ (SP) ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี 1998 เป็นเครื่องมือทางนโยบายการคลังเพื่อชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค พร้อมกับเพิ่มการออมเงินบำนาญ
4.) อิสราเอล / 80.2 คะแนน / เกรด A

หนึ่งในประเทศจากตะวันออกกลางที่คว้าอันดับ 4 แถมได้คะแนนสูงถึง 80.2 ที่จัดว่าอยู่ในเกรด A ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มี ‘ระบบรายได้หลังเกษียณที่ทั้งยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง แถมสวัสดิการดี และยั่งยืนด้วย’ อายุเกษียณปกติสำหรับผู้ชายอยู่ที่ 67 ปี และ 62 ปีสำหรับผู้หญิง
ระบบบำนาญของอิสราเอล ได้แก่ :
- ระบบบำนาญผู้สูงอายุของรัฐ บริหารโดยสถาบันประกันแห่งชาติ (Bituach Leumi) ผู้พักอาศัยทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องจ่ายเงินสมทบประกันภัยให้กับ Bituach Leumi ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันภัยผู้สูงอายุ
- ระบบบำนาญเอกชน พนักงานที่ได้รับเงินเดือนทุกคนที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากแผนบำนาญที่ตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและสหภาพแรงงาน มีข้อกำหนดทางกฎหมายให้ต้องมีเงินกองทุนบำนาญส่วนตัว ซึ่งทั้งพนักงานและนายจ้างต้องสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าว
- ระบบบำนาญสำหรับข้าราชการพลเรือน ข้าราชการจะได้รับเงินบำนาญตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดจากเงินเดือนสุดท้าย ซึ่งจะเพิ่มขึ้นทุกปีที่ทำงาน ข้าราชการพลเรือนทุกคน ยกเว้นทหารอาชีพ สามารถสะสมเงินบำนาญได้สูงสุด 70% ของเงินเดือนสุดท้าย ขณะที่ทหารสามารถสะสมได้สูงสุด 76%
5.) สิงคโปร์ / 78.7 คะแนน / เกรด B+

หนึ่งเดียวในอาเซียนที่ติด 1 ใน 10 ระบบบำนาญที่ดีที่สุดในโลก ประเทศเล็กๆ ที่อาจเรียกได้ว่า ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’ เพราะไม่ว่าจะเปิดโผไหน สิงคโปร์ก็ไม่พลาดติดอันดับต้นๆ ของโลกเสมอ
ระบบบำนาญของที่นี่เป็นหนึ่งในระบบบำนาญแห่งชาติที่เก่าแก่และพัฒนามากที่สุดในเอเชีย พึ่งพาเสาหลักเพียงเสาเดียวคือ ‘กองทุนเงินสำรองกลาง’ (Central Provident Fund / CPF) ซึ่งทำหน้าที่หลักในการประกันสังคม
ไม่มีการรวมกลุ่มและกระจายความเสี่ยงทางสังคม ไม่มีระบบประกันสังคมที่ครอบคลุม และประชาชนต้องพึ่งพาเงินสมทบที่กำหนดไว้ในบัญชีส่วนบุคคลของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลางเพียงอย่างเดียว
กองทุน CPF เป็นโครงการออมทรัพย์ที่อิงกับการจ้างงาน โดยมีนายจ้างและลูกจ้างร่วมสมทบเงินเข้ากองทุนตามจำนวนที่กำหนดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง กองทุนนี้บริหารจัดการโดยคณะกรรมการกองทุน CPF ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายที่ดำเนินงานภายใต้กระทรวงแรงงาน โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการลงทุนเงินสมทบ
ดัชนีเงินบำนาญโลก (Global Pension Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่ประเมินระบบรายได้หลังเกษียณ ได้จัดอันดับให้สิงคโปร์เป็น ‘ประเทศที่ดีที่สุดในเอเชีย’ อยู่อันดับที่ 7 ของโลกในปี 2023
6.) ออสเตรเลีย / 76.7 คะแนน / เกรด B+

ออสเตรเลียคว้าอันดับ 6 ของโลกที่ 76.7 คะแนน ดินแดนโคอาล่าแห่งนี้นำ ‘กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ’ (Superannuation) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ซูเปอร์’ มาใช้ ซึ่งเป็นระบบออมทรัพย์สำหรับเงินบำนาญในที่ทำงานเมื่อเกษียณอายุ โดยเงินที่พนักงานได้รับจะถูกนำไปไว้ในกองทุนการลงทุนเพื่อให้สมาชิกสามารถใช้เงินนั้นได้ตามกฎหมายเมื่อถึงวัยเกษียณ
นายจ้างจะจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเหล่านี้เป็นสัดส่วนของค่าจ้างของลูกจ้าง ปัจจุบัน เงินสมทบขั้นต่ำที่นายจ้างกำหนดไว้คือ 12% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 11.5% เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2025
แม้ว่าในออสเตรเลียจะไม่มีการกำหนดอายุเกษียณอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ที่มีสิทธิ์จะได้รับเงินบำนาญผู้สูงอายุได้นั้นต้องมีอายุอย่างน้อย 67 ปี นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ และมีการทดสอบรายได้และทรัพย์สิน หากอายุต่ำกว่า 67 ปี อาจมีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลืออื่นๆ เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้หางาน
7.) ฟินแลนด์ / 75.9 คะแนน / เกรด B+

อีกหนึ่งประเทศจากกลุ่มนอร์ดิกที่มั่งคั่งไม่พลาดคว้าอันดับ 7 ของโลกไปครอง ได้ 75.9 คะแนน และสำหรับอายุเกษียณอยู่ที่ 65 ปี
ระบบบำนาญในฟินแลนด์ ได้แก่ :
- บำเหน็จบำนาญที่เกี่ยวข้องกับรายได้ : เป็นเงินบำนาญที่สะสมจากการทำงานตั้งแต่อายุ 17 ปี จนถึงอายุ 68, 69 หรือ 70 ปี ขึ้นอยู่กับปีเกิดของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ สิทธิประโยชน์บำนาญจะสะสมเมื่ออายุ 18 ปี เงินบำนาญคำนวณจากรายได้ของบุคคลในแต่ละปีและอัตราการสะสมตามอายุ
- บำนาญแห่งชาติและบำนาญรับประกัน : เป็นการรับประกันความเป็นอยู่พื้นฐานหากผู้เกษียณมีบำนาญที่เกี่ยวข้องกับรายได้สะสมไม่มาก หรือไม่มีเลย
เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในยุโรป บำนาญเฉพาะนายจ้าง บำนาญสมัครใจ หรือบำนาญที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลงในตลาดแรงงานนั้นหาได้ยากในฟินแลนด์ เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะในระบบบำนาญตามกฎหมายไม่มีเพดานบำนาญ หรือขีดจำกัดสูงสุดของรายได้ที่บำนาญจะคิดจากรายได้นั้น

ภาพปก และภาพประกอบ : อรนรร จิรชลมารค
อินโฟกราฟฟิกชิ้นที่ 1 โดย : สังกาส นารักษ์
อินโฟกราฟฟิกชิ้นที่ 2 โดย : พิชชิตา ธนภัทร์นพ
Photo by : Shutterstock / PeopleImages





