เกิดเหตุวุ่นวายในวันพฤหัสบดี (ตามเวลาท้องถิ่น) ภายในอาคารจัดงานการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (UN Climate Change Conference) หรือ COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ส่งผลให้ต้องอพยพผู้แทนนานาชาตินับพันออกจากพื้นที่ ขณะการเจรจาเพื่อปิดดีลสำคัญด้านสภาพภูมิอากาศกำลังเดินหน้าอย่างเข้มข้น
ควบคุมเพลิงได้ใน 6 นาที
ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นไฟที่ปะทุขึ้นจากอาคารจัดนิทรรศการ ก่อนลุกลามไปตามผ้าโครงสร้างภายในผนังและเพดานอย่างรวดเร็ว หน่วยดับเพลิงท้องถิ่นระบุว่า สาเหตุน่าจะมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ไมโครเวฟ และใช้เวลาเพียง 6 นาทีในการควบคุมเพลิง
ผู้จัดงานยืนยันว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากควันไฟ 13 คน แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บรุนแรง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องตั้งแผงกั้นมนุษย์เพื่อเร่งอพยพผู้เข้าร่วมออกจากอาคาร การเจรจาที่เหลืออยู่จึงถูกเลื่อนออกไปจนถึงเช้าวันศุกร์
ร่างข้อเสนอใหม่ถูกวิจารณ์ ไม่ระบุโรดแมปเลิกฟอสซิล
การประชุมครั้งนี้เพิ่งพลาดเส้นตายที่ตั้งไว้เองในวันพุธ ซึ่งมุ่งหาฉันทามติต่อประเด็นสำคัญ เช่น การเพิ่มเงินทุนสภาพภูมิอากาศและการลดการใช้ฟอสซิล ล่าสุด บราซิลในฐานะเจ้าภาพได้กระจายร่างข้อเสนอบางส่วนให้บางรัฐบาล โดยไม่มีการระบุแผนหรือกรอบเวลาในการ “เปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล”
ในร่างเอกสารที่ระบุว่าประเทศต่างๆ จะสนับสนุนการ “เพิ่มเงินทุนเพื่อการปรับตัวเป็น 3 เท่า ภายในปี 2030 จากระดับปี 2025” แต่ไม่ระบุแหล่งเงินว่าจะมาจากรัฐบาลประเทศร่ำรวย ธนาคารพัฒนา หรือภาคเอกชน มีผู้แทนบางประเทศเปิดเผยว่า พวกเขาเพิ่งทำงานกับเอกสารนี้ก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ไม่นาน ขณะที่บางประเทศระบุว่า ยังไม่เคยได้รับร่างนี้เลย
ความเห็นต่างทางภูมิรัฐศาสตร์ “ฟอสซิล–เงินทุน”
การเจรจาใน COP30 ยังคงติดกับดักสองประเด็นหลัก ได้แก่ 1) อนาคตของเชื้อเพลิงฟอสซิล2) การจัดหาเงินทุนสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ซับซ้อนระหว่างประเทศร่ำรวย ผู้ผลิตน้ำมัน และประเทศกำลังพัฒนาที่เปราะบางต่อภัยพิบัติ
บราซิลและประเทศทั้งพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนาบางกลุ่มผลักดันให้มีโรดแมปเลิกฟอสซิลอย่างชัดเจน ขณะที่บางประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังคงคัดค้านหนัก ในการประชุม COP29 เมื่อปีที่แล้ว มีเพียงการระบุว่าประเทศต่างๆ “เห็นชอบให้เปลี่ยนผ่าน” จากฟอสซิล แต่ยังไม่มีกรอบเวลาและวิธีการที่ชัดเจน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกมาเรียกร้องก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่า ประเทศต่างๆ ควรมีความยืดหยุ่น เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งยังเป็นจุดขัดแย้งหลักในเวทีนี้ พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าเราจะหาจุดประนีประนอมได้”
ประเทศยากจนยังไม่เชื่อใจคำมั่นการเงินสภาพภูมิอากาศ
อีกปมใหญ่คือ ความไม่เต็มใจของบางประเทศร่ำรวยที่จะรับประกันเงินทุนเพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนา “ปรับตัว” ต่อผลกระทบจากโลกร้อน แหล่งข่าวหลายรายระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนายังคงไม่ไว้วางใจคำมั่นเงินทุน 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ให้ไว้ใน COP29 โดยเฉพาะในจังหวะที่สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวจากความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศ
สตีเวน วิกเตอร์ รัฐมนตรีเกษตร ประมง และสิ่งแวดล้อม ของประเทศปาเลา กล่าวว่า “ตอนนี้ประชาชนของเรากำลังสูญเสียชีวิตและวิถีทำกินจากพายุที่รุนแรงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเกิดจากทะเลที่ร้อนขึ้น” และเตือนว่า “หากเราจากเบเลงไปโดยไม่มีผลลัพธ์เชิงเปลี่ยนแปลงด้านการปรับตัวสำหรับผู้ที่เปราะบางที่สุด นั่นคือความล้มเหลว”
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรประบุว่า เห็นด้วยว่าประเด็นการปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ แต่ย้ำว่าพวกเขาไม่ได้รับอำนาจให้ตกลงเป้าหมายเงินทุนใหม่


