กัมพูชารับปากจะกำจัดศูนย์สแกมเมอร์ แต่รายใหญ่ยังไม่ถูกปราบ

10 ส.ค. 2568 - 08:09

  • เดือนที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชาเดินหน้าปราบปรามอุตสาหกรรมหลอกลวงทางออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุด

  • มีการตั้งข้อสงสัยอย่างกว้างขวางว่า ความพยายามกำจัดแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาจะเพียงพอที่จะทำลายอุตสาหกรรมนี้หรือไม่

กัมพูชารับปากจะกำจัดศูนย์สแกมเมอร์ แต่รายใหญ่ยังไม่ถูกปราบ

แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินมาตรการปราบปรามการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่นักวิจัยยังมีความกังขาว่าผู้ที่มีอำนาจสูงสุดจะถูกดำเนินคดีหรือไม่

เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชาเดินหน้าปราบปรามอุตสาหกรรมหลอกลวงทางออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งหยั่งรากลึกในประเทศและส่วนใหญ่ดำเนินการอย่างเปิดเผย

วันที่ 16 กรกฎาคม คำสั่งของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ยอมรับถึงภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นจากอุตสาหกรรมนี้ และสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ศาล และคณะกรรมการการพนันแห่งชาติดำเนินการ

ขณะที่ตำรวจเริ่มตรวจค้นเว็บไซต์หลอกลวงทั่วประเทศ ช่องทางเทเลแกรมที่อาชญากรทางไซเบอร์ใช้กลับเต็มไปด้วยคำเตือนให้คนอื่นๆ รู้ถึงความร้ายแรงของการปราบปรามครั้งนี้

บางโพสต์อ้างว่าตำรวจกำลังตั้งด่านตรวจทั่วประเทศ กักขังบุคคลที่ไม่มีหนังสือเดินทาง และเรียกร้องสินบนเพื่อปล่อยตัว นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่วิดีโอที่แสดงให้เห็นการอพยพครั้งใหญ่จากสถานที่ต่างๆ

ไม่นานรัฐบาลก็ประกาศความสำเร็จ ปลายเดือนกรกฎาคม รัฐบาลประกาศว่าได้ดำเนินการตรวจค้นเกือบ 140 แห่ง นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยมากกว่า 3,000 คนจากอย่างน้อย 19 ประเทศ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากจีนและเวียดนาม

ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ระบุว่ามี “ผู้ต้องสงสัย” เหล่านี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกนำตัวมาโดยไม่สมัครใจ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ใน The Conversation ก่อนหน้านี้ระบุว่า มีคนหลายพันคนถูกค้ามนุษย์หรือถูกหลอกลวงให้เข้ามาอยู่ในสถานที่เหล่านี้ และถูกบังคับให้ทำงานในสภาพที่คล้ายกับการค้ามนุษย์ยุคใหม่

การปราบปรามครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากจีนและประเทศอื่นๆ รัฐบาลหลายประเทศกำลังเผชิญกับผลกระทบจากอุตสาหกรรมหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ไปยังกัมพูชา หรือจากมิจฉาชีพที่มุ่งเป้าไปที่เหยื่อในประเทศตัวเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะมีขอบเขตกว้างขวาง และรัฐบาลให้คำมั่นที่จะ “กำจัด” ขบวนการหลอกลวงในกัมพูชา แต่ก็ยังมีการตั้งข้อสงสัยอย่างกว้างขวางว่า ความพยายามดังกล่าวจะเพียงพอที่จะทำลายอุตสาหกรรมนี้หรือไม่

การปราบปรามเมื่อเดือนที่แล้วเกิดขึ้นพร้อมๆ กับความขัดแย้งสั้นๆ ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งทำให้ผู้คนมากกว่า 300,000 คนต้องอพยพ

ต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่ส่งไปยังจุดศูนย์กลางการหลอกลวงชายแดนที่เมืองปอยเปต จากนั้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยก็ได้ดำเนินการอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยการไล่ล่าสมาชิกวุฒิสภาและเศรษฐีชาวกัมพูชาผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในปอยเปต ซึ่งทางการไทยกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์

ศาลอาญาของไทยออกหมายจับสมาชิกวุฒิสภาและตรวจค้นทรัพย์สินของเขาในประเทศไทย ทางการยังเล็งเป้าไปที่ลูกๆ ของเขาและทรัพย์สินของพวกเขาในประเทศไทยด้วย

เจ้าหน้าที่กัมพูชาตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่าประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางของอาชญากรรมข้ามชาติ” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลานาน และ “โยนความผิด” ต่อปัญหานี้ไปที่กัมพูชา

โฆษกวุฒิสภากัมพูชายังกล่าวอีกว่า คดีของวุฒิสมาชิกรายนี้เกินจริงและเป็นเท็จ โดยบอกว่าเป็นการกระทำเพื่อ “แก้แค้น”

แม้ว่าประเทศไทยได้เพิ่มความพยายามในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมหลอกลวงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนผู้นำของประเทศไทยจะใช้ปัญหานี้เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนจากประชาชนภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็ทำให้กลุ่มชนชั้นนำชาวกัมพูชาที่พวกเขาอ้างว่าได้รับผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมนี้ต้องอับอาย

ท่ามกลางสงครามน้ำลายนี้ เจ้าหน้าที่กัมพูชายืนกรานว่าการปราบปรามอุตสาหกรรมดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป

สิ่งที่ต้องยกความดีความชอบให้กับกัมพูชาคือ แคมเปญล่าสุดนี้มีขอบเขตครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการปราบปรามครั้งก่อนๆ ที่ส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่ในเมืองชายฝั่งสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการหลอกลวงจุดใหญ่

ถึงกระนั้น รูปแบบที่คุ้นเคยก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในอดีต หน่วยงานต่างๆ พุ่งเป้าไปที่ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบ

ในหลายกรณี มีรายงานว่ามีการแจ้งเบาะแสล่วงหน้าและอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ สมาชิกแก๊งสแกมเมอร์จำนวนมากย้ายไปยังพื้นที่ขนาดใหญ่ใกล้ชายแดนเวียดนาม ซึ่งดูเหมือนว่าจะดำเนินงานโดยไม่มีการแทรกแซง

หนึ่งในทีมวิจัยเข้าร่วมทีมกู้ภัยในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยพยายามติดต่อชายชาวจีนคนหนึ่งที่อ้างว่าถูกค้ามนุษย์เข้าไปในศูนย์สแกมเมอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในเนินเขาของจังหวัดมณฑลคีรีใกล้ชายแดน

ชายคนดังกล่าวไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเขาได้ แต่จากข้อความที่ส่งถึงองค์กรกู้ภัยเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้ทีมงานสามารถระบุได้ทีละน้อยว่าเขาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด และขอบเขตของศูนย์สแกมเมอร์ดังกล่าวเป็นอย่างไร

หลายสัปดาห์หลังการปราบปราม ทีมวิจัยคนดังกล่าวร่วมทีมลงพื้นที่เพื่อประเมินสถานการณ์ จากยอดเขาในยามค่ำคืน พวกเขาเห็นแสงไฟระยิบระยับบนเนินเขามาจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอาคารหลายหลังที่ล้อมรอบด้วยป่าโปร่ง

เนื่องจากมีถนนทางเข้าเพียงเส้นเดียว ทีมงานจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้โดยไม่ถูกจับได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบริเวณนั้นยังคงคึกคัก เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ อีกหลายแห่งที่นักวิจัยสังเกตเห็นระหว่างการเดินทาง

ขณะนั้นชายชาวจีนยังคงอยู่ในศูนย์ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวจากเขาอีกเลย

การปราบปรามศูนย์สแกมเมอร์ในอดีตมักล้มเหลว เพราะไม่ได้คำนึงถึงเสาหลักสองประการที่ช่วยให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตได้ ประการหนึ่งคือ เครือข่ายท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพซึ่งปกป้องแก๊งสแกมเมอร์ และอีกประการหนึ่งคือ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่ซับซ้อนของศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้

ตราบใดที่กลุ่มคนชั้นนำที่คอยปกป้องแก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้ยังไม่ได้รับผลกระทบ และสถานที่ยังคงปลอดภัยดี นักต้มตุ๋นเหล่านี้ก็สามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเมื่อแรงกดดันลดลง

การปราบปรามเป็นระยะๆ อาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปชั่วคราว แต่ผู้ที่ถูกจับมักจะเป็นพนักงานระดับล่าง ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับบน

เมื่อการปราบปรามเหล่านี้สิ้นสุดลง กิจกรรมหลอกลวงก็จะกลับมาอีกครั้ง สมาชิกในแก๊งอาจเงียบไปจนกว่าพายุจะผ่านไป หรืออาจย้ายไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า อุปกรณ์ที่ถูกยึดไปก็สามารถหาอันใหม่มาทดแทนได้ เช่นเดียวกับคนงาน

Photo by AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์