เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบั๊กเค 1 ในตำบลเติ่นเตียน จังหวัดลางเซิน ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม พังถล่มเมื่อบ่ายวันที่ 7 ตุลาคม หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่องยาวนานเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นแมตโมพัดผ่าน ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งหมดได้รับการอพยพอย่างปลอดภัยแล้ว
เหงียน มัญ ตวน รองประธานคณะกรรมการประชาชนตำบลเติ่นเตียน เผยว่า ฝนตกหนักต่อเนื่องระหว่างวันที่ 6-7 ตุลาคม ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 7 ตุลาคม ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าและไหลออกของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบั๊กเค 1 พุ่งสูงถึง 1,181 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเมื่อถึงช่วงเที่ยง ปริมาณน้ำได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,562 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้เขื่อนบั๊กเค 1 พังถล่มเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.
เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบั๊กเค 1 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านบั๊กเค มีพื้นที่ผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 2.4 เมกะวัตต์ พื้นที่รับน้ำ 325 ตารางกิโลเมตร และปริมาตรอ่างเก็บน้ำ 1.572 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้พบว่ารอยแยกมีความกว้างประมาณ 4-5 เมตร และลึก 3-4 เมตร
การประเมินเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการพังทลายของเขื่อนเกิดจากฝนตกหนักเป็นเวลานาน ทำให้ปริมาณน้ำพุ่งสูงถึง 1,572 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้คอนกรีตบริเวณจุดรับน้ำแตกเสียหาย นอกจากนี้ การพังทลายยังทำลายห้องควบคุมกลางและทำให้อุปกรณ์เสียหายอีกด้วย ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แต่อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายต่อทรัพย์สิน
หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่า ในช่วงเช้า (7 ต.ค.) ที่ผ่านมา หน่วยงานได้ตรวจสอบเขื่อนและพบรอยแตก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการแตกร้าว จึงมีการออกประกาศเตือนภัยทันที และประชาชนประมาณ 200-300 ครัวเรือนใน 4 หมู่บ้านท้ายเขื่อน ได้อพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
โครงการบั๊กเค 1 เป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่มีความจุอ่างเก็บน้ำประมาณ 3-4 ล้านลูกบาศก์เมตร แม้ว่าการพังทลายและฝนตกต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ต๊าดเค และจ่างดิญ แต่หน่วยงานท้องถิ่นยืนยันว่ายังไม่เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม
ผู้นำจังหวัดและหน่วยฉุกเฉินกำลังประสานงานเพื่อเข้าถึงพื้นที่และดำเนินมาตรการรับมือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร แพทย์ และหน่วยกู้ภัยก็ได้รับการระดมกำลังเพื่ออพยพและให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบยังคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากทางหลวงหมายเลข 3B หลายช่วงถูกตัดขาดเนื่องจากน้ำท่วมรุนแรง
ทางการยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย พร้อมทั้งประเมินความเสียหายและป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม
(Photo by Nhac NGUYEN / AFP)


