เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 วงการฟุตบอลไทยต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศปลดเฮดโค้ช มาซาทาดะ อิชิอิ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยอย่างกะทันหันโดยใช้ค่าประเมินชี้วัดผลงานว่า มาซาทาดะ อิชิอิ ผ่านค่าเฉลี่ยจากเกณฑ์การประเมินที่ 53% ทำให้ต้องปลดเฮดโค้ชรายนี้รวมไปถึงการไม่ฟังคำแนะนำจากประธานเทคนิคฟุตบอลทีมชาติไทย ก่อให้เกิดกระแสร้อนบนโลกโซเชียลทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเหตุการณ์การปลดโค้ชแบบไร้ทิศทางไร้สาเหตุครั้งนี้ของสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทย
ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์กลับมีบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่หายไปจากเรื่องราวทั้งหมดนั่นคือ นวลพรรณ ล่ำซำ หรือ 'มาดามแป้ง' นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นมักออกมาเคลื่อนไหวตลอด แต่หนนี้กลับใช้ความเงียบหายไปในกลีบเมฆ ทิ้งคำถามไว้ให้กับแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยตัวโตๆ ว่าความสำเร็จแบบไหนกันที่สมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยถวิลหา
เหตุการณ์การไล่ออกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ตามคำบอกเล่าของมาซาทาดะ อิชิอิ ในโพสต์อินสตาแกรมเขาได้เล่าไว้ว่า ตนได้ถูกเรียกไปที่สำนักงานสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยในเวลา 10.00 น. โดยได้รับการบอกกล่าวว่าจะขอทบทวนผลงานจากการแข่งขันกับทีมไต้หวันสองนัดที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าการประชุมเปลี่ยนเป็นการแจ้งยุติสัญญาทันทีโดยให้เหตุผลกว้างๆ ว่าต้องการเปลี่ยนแปลงทีมงานโค้ชของทีมชาติทุกระดับ
อิชิอิระบุว่าเขาตกใจและยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกได้จึงขอเวลาคิดทบทวนเพิ่มเติมและปฏิเสธที่จะลงนามในเอกสารยกเลิกสัญญา แต่สมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยกลับออกแถลงการณ์ประกาศการไล่ออกในบ่ายวันเดียวกันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเขา
ในทางตรงกันข้ามแถลงการณ์จากสมาคมฟุตบอลระบุว่าคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคนำโดย ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน รองประธาน ส.บอลไทย ร่วมกับ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน และเอกพล พลนาวี เลขาธิการสมาคมได้ประชุมกับอิชิอิและตัดสินใจยกเลิกสัญญาเนื่องจากแนวทางการฝึกสอนไม่สอดคล้องกับการประเมินของคณะกรรมการ
บทบาทเด่นของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค
สิ่งที่แตกต่างจากการเปลี่ยนเฮดโค้ชทีมชาติไทยครั้งก่อนๆ ในสมัยมาดามแป้งคือบทบาทที่โดดเด่นของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคที่เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งนี้ แถลงการณ์ระบุชัดเจนว่า ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ได้ให้เหตุผลถึงการที่อิชิอิไม่ยอมรับฟังคำแนะนำจากกรรมการฝ่ายเทคนิค โดยเฉพาะจากชาญวิทย์และปิยะพงษ์ ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องในแนวทางการฝึกสอนและการพัฒนาทีม
นอกจากนี้ยังชี้ไปที่ผลงานที่ผิดหวัง เช่น การตกรอบสองของคัดบอลโลก การแพ้ทีมชาติเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศ AFF และแพ้ทีมชาติฟิลิปปินส์ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมานับสิบปี
ปิดตำนาน JAPAN WAY เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่นโดนไล่ยกชุด
ก่อนหน้าการไล่ออกอิชิอิเพียงสามเดือนสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยได้ยกเลิกสัญญากับโค้ชชาวญี่ปุ่นอีกสองคนคือ ทากายูกิ นิชิกาวะ โค้ชทีมชาติ U23 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และฟุโตชิ อิเคดะ โค้ชทีมชาติหญิงเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 แต่การประกาศทั้งสองครั้งน้ันเป็นไปอย่างรวบรัดสั้นกระชับ เพียงแค่แสดงความขอบคุณและให้เหตุผลว่าผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ตรงกันข้ามกับการประกาศยกเลิกสัญญาอิชิอิที่มีความยาวและมีรายละเอียดมาก รวมถึงสถิติเปอร์เซ็นต์การชนะ 53% จาก 30 นัด และการอ้างอิงปัญหาแนวทางการฝึกสอน ความแตกต่างนี้ทำให้เกิดคำถามว่ามีมาตรฐานแตกต่างกันตามความสำคัญของตำแหน่ง หรือสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยรู้สึกว่าต้องให้เหตุผลครบถ้วนมากกว่าเนื่องจากความโดดเด่นของ มาซาทาดะ อิชิอิ
ความเงียบอันน่าสังเกตของมาดามแป้ง
ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มาดามแป้งได้สร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่มีความโดดเด่นในสายตาประชาชน เธอมักปรากฏตัวในการแข่งขัน มีการโต้ตอบกับแฟนบอลผ่านโซเชียลมีเดียและเป็นหน้าตาของการบริหารวงการฟุตบอลไทย การเงียบหายไปจากการประกาศปลดโค้ช มาซาทาดะ อิชิอิ จึงทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจน
แถลงการณ์ทางการไม่มีการกล่าวถึงบทบาทของมาดามแป้งในการตัดสินใจครั้งนี้เลยแต่กลับมอบเรื่องราวทั้งหมดให้กับคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค สิ่งนี้แตกต่างจากแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาเวลามีข่าวดีๆ ในทีมชาติไทย เช่น การที่สมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยได้รับรางวัล AFC Member Association of the Year ระดับไดมอนด์เป็นปีที่สองซึ่งมาดามแป้งเป็นศูนย์กลางของการประกาศและรับรางวัลด้วยตนเอง
หลังการประกาศเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมมาดามแป้งไม่ได้ออกมาแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ โซเชียลมีเดียของเธอยังคงโพสต์เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องในวันต่อมา
ความขัดแย้งในอดีตระหว่างอิชิอิกับมาดามแป้ง
ชนวนอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญอาจจะต้องมองย้อนไปที่ความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2567 หลังเกมที่ไทยชนะมาเลเซีย 1-0 ในถ้วย AFF มาซาทาดะ อิชิอิ ตัดสินใจเดินกลับห้องแต่งตัวทันทีแทนที่จะร่วมขอบคุณแฟนบอลรอบสนามโดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นักเตะได้พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับเกมถัดไปที่สิงคโปร์
มาดามแป้งมองว่าการขอบคุณแฟนบอลที่มาเชียร์เต็มสนามเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นการแสดงความเคารพต่อคนที่เป็นหัวใจสำคัญของฟุตบอลไทย เธอจึงนำนักเตะเดินรอบสนามเพื่อขอบคุณแฟนบอลด้วยตนเองขณะที่อิชิอิกลับห้องแต่งตัวไปแล้ว ตรงนี้จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาอยู่ในประเด็นนี้ได้ว่าการไม่เข้าใจกันของเฮดโค้ชและนายกสมาคมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจเป็นรอยร้าวสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องนี้เช่นกัน
อิชิอิได้เคลื่อนไหวครั้งนั้นด้วยการออกมาขออภัยและชี้แจงต่อสาธารณะว่า การตัดสินใจกลับห้องแต่งตัวนั้นไม่เหมาะสมและควรสื่อสารกับมาดามแป้งอย่างชัดเจนมากกว่านี้ โดยระบุว่าเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจและการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน
ความขัดแย้งครั้งนี้แม้จะผ่านพ้นไปด้วยการขอโทษจากอิชิอิแต่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ลึกกว่านั้นเกี่ยวกับความเข้าใจต่างกันในแนวทางการทำงาน การที่มาดามแป้งเลือกที่จะเงียบในการไล่ออกครั้งนี้อาจสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากกว่าที่ปรากฏต่อสาธารณะ
คำถามที่เหลืออยู่คือความเงียบของมาดามแป้งในกรณีนี้จะจบลงอย่างไร ทำไมนายกสมาคมฟุตบอลไทยถึงหายเข้ากลีบเมฆไปเลยในเรื่องสำคัญๆ แบบนี้ เป้าหมายของวงการฟุตบอลไทยคืออะไรกัน ที่สำคัญเราจะมีความชัดเจนได้หรือยังว่าฟุตบอลทีมชาติไทยต้องการอะไรระหว่างการไปสู่เส้นทางที่กว้างไกลต่อยอดไปฟุตบอลโลกหรือจะอยู่กันแค่ในอาเซียนต่อไป? คำถามนี้ยังรอนายกฯ ท่านนี้มาตอบอยู่นะครับ


