สถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดยังหนัก ‘อ่างทอง’ น้ำขังสูง ‘กทม.’ เฝ้าระวัง 11 ชุมชนนอกคันกั้น เตรียมป้องกันน้ำเหนือ-น้ำหนุนสูง

11 พ.ย. 2568 - 07:55

  • สถานการณ์น้ำท่วมยังหนัก 'อ่างทอง' ยังปิดการจราจรถนนเส้น 33 ป่าโมก-สุพรรณบุรี น้ำยังท่วมขังสูงกว่า 60 ซม.

  • กทม. ย้ำคุมสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาได้ เฝ้าระวังใกล้ชิด 11 ชุมชนนอกคันกั้น เตรียมป้องกันน้ำเหนือ-น้ำหนุนสูง

สถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดยังหนัก ‘อ่างทอง’ น้ำขังสูง ‘กทม.’ เฝ้าระวัง 11 ชุมชนนอกคันกั้น เตรียมป้องกันน้ำเหนือ-น้ำหนุนสูง

สถานการณ์น้ำท่วมเชิงสะพานป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น. (11 พฤศจิกายน 2568) ยังคงปิดการจราจรถนนเส้น 33 ป่าโมก-สุพรรณบุรี น้ำยังคงท่วมขังสูงกว่า 60 เซนติเมตร ตั้งแต่หน้าปั๊ม ปตท. ถึงหน้าทางแขวงทางหลวง

Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo01.jpg
Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo02.jpg

พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย ผกก.สภ.ป่าโมก เปิดเผยว่า ยังคงปิดการจราจรถนนเส้น 33 ป่าโมก-สุพรรณบุรี ซึ่งน้ำยังคงท่วมขังสูงกว่า 60 เซนติเมตร ยังคงใช้สัญจรไม่ได้เป็นระทางกว่า 1 กิโลเมตร ต้องใช้ทางเลี่ยงซึ่งทางเจ้าหน้าที่เตรียมกู้สถานกาณ์ให้กลับมาปกติอย่างเร่งด่วน

ส่วนทางด้านจุดพนังกั้นน้ำที่พังทะลายบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้นทางเจ้าหน้าที่อุดรอยรั่วพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเชิงสะพานได้แล้วทำให้การสัญจรบริเวณดังกล่าวเริ่มคล่องตัว

ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดแม่น้ำเจ้าพระยายังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ระบายน้ำ อัตรา 2,900 ลบ.ม./วินาที และมีแนวโน้มจะปล่อยน้ำลงท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้นอีก ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดอ่างทอง ที่บริเวณหน้าศาลากลาง จ.อ่างทอง ระดับน้ำสูง 9.60 เมตร จุดวิกฤตอยู่ที่ 8 เมตร จากระดับตลิ่งที่มีเขื่อนกั้นน้ำ 10 เมตร ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,646ลบ.ม./วินาที

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศเตือนชาวบ้านริมแม่น้ำเจ้าเตรียมความรับสถานการณ์และเตรียมแผนจุดอพยพชาวบ้านที่จุดสียงไว้รับสถานการณ์แล้ว ซึ่งในช่วงนี้จะมีน้ำเอ่อล้นข้ามพนักกั้นน้ำและน้ำผุดลอดใต้เขื่องหลายจุดซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็เฝ้าดูแลป้องกั้นอย่างเต็มที่เพื่อรับสถานการณ์ต่อไป

กทม.ย้ำคุมสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาได้ เตือน 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวังใกล้ชิด

เอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา (11 พ.ย.2568) ว่า น้ำยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากการระบายน้ำของกรมชลประทาน โดยคาดว่าปริมาณน้ำจะทรงตัวในช่วงวันที่ 11–12 พฤศจิกายนนี้ ก่อนมีแนวโน้มลดระดับลงหลังจากนั้น

Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo V01.jpg

โดยวานนี้ (10 พ.ย. 2568) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจแนวป้องกันน้ำท่วมบริเวณสะพานพุทธ–ท่าเตียน ยืนยันสถานการณ์ยังควบคุมได้ พร้อมสั่งทุกเขตริมเจ้าพระยาเฝ้าระวัง “3 น้ำ” ทั้งน้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ระบุ ขณะนี้น้ำเหนือเพิ่มเป็นราว 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่น้ำหนุนน้อยลง ระดับน้ำสูงสุดราว 2.1 เมตร ต่ำกว่าแนวคันป้องกัน 2.8 เมตร เหลือระยะปลอดภัย 70 เซนติเมตร พร้อมใช้วิธี “สูบสู้” ระบายน้ำที่รั่วซึมกลับสู่แม่น้ำ ป้องกันล้นเข้าถนน ย้ำ กทม. ควบคุมสถานการณ์ได้ มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดเวลา

“กทม. เตรียมพร้อมเต็มกำลัง ป้องกันน้ำเหนือ–น้ำหนุน ได้ประสานความร่วมมือกับ กรมชลประทาน กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมแผนรองรับมวลน้ำ โดยตรวจสอบแนวป้องกันน้ำท่วมตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ รวมระยะทาง 88 กิโลเมตร เป็นแนวป้องกันน้ำของ กทม. 80 กม. แนวป้องกันของเอกชนและหน่วยงานอื่น 3.65 กม. แนวฟันหลอหรือยังไม่สามารถป้องกันได้ 4.35 กม.”

Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo03.jpg
Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo04.jpg

ทั้งนี้ สำนักการระบายน้ำและสำนักงานเขต ได้เรียงกระสอบทรายป้องกันน้ำทะเลหนุนและน้ำเหนือหลากแล้วเสร็จ 100% โดยมีระดับความสูง +2.40 ถึง +2.70 ม.รทก.  พร้อมดูแลแนวป้องกันที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและแนวฟันหลอให้สามารถใช้งานได้ในภาวะฉุกเฉิน

สำหรับ 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวังใกล้ชิด ข้อมูลจากสำนักการระบายน้ำ ระบุว่า กรุงเทพมหานครมี 11 ชุมชน นอกแนวคันป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ครอบคลุมพื้นที่ 6 เขต ได้แก่ ดุสิต พระนคร บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และคลองสาน รวมทั้งสิ้น 320 หลังคาเรือน ประชากรราว 1,070 คน ซึ่งเป็นพื้นที่ตลิ่งต่ำและมีโอกาสได้รับผลกระทบโดยตรงหากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้สั่งการให้ทุกเขตเร่งเสริมแนวกระสอบทราย ตรวจสอบแนวฟันหลอ และสร้างสะพานไม้ชั่วคราวในจุดจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสัญจรได้ปลอดภัย รวมทั้งเตรียมกระสอบทรายสำรองและเครื่องสูบน้ำในจุดสำคัญ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดแนวพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงทีพร้อมย้ำ “ทุกเขตต้องพร้อมรับมือ ทั้งการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กรุงเทพมหานครไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมดูแลทุกคนอย่างใกล้ชิด”

Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo05.jpg

ทั้งนี้ กทม. เฝ้าระวัง “3 น้ำ” คือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน เมื่อวันที่ 10 พ.ย.68 กรมชลประทาน รายงานว่ามีการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อระบายมวลน้ำจากตอนเหนือ ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใน จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพฯ ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด โดยเฉพาะในจุดที่แนวตลิ่งต่ำหรือคันป้องกันชำรุด

ในขณะเดียวกัน GISTDA เผยภาพดาวเทียมล่าสุดยืนยันว่า พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ได้เกิดน้ำเอ่อเข้าท่วมจริงในหลายจุด เช่น เทศบาลเมืองปทุมธานี บางกรวย ท่าน้ำนนท์ และบางส่วนของเขตบางพลัดในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ

ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ฝนลดลงต่อเนื่อง ไม่เพิ่มความเสี่ยงน้ำหลาก โดยรายงานว่า ขณะนี้ปริมาณฝนทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง หลังพายุ “ฟงวอง” ในทะเลจีนใต้ตอนบนเปลี่ยนทิศทางไปทางตอนเหนือ และไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้ช่วงนี้ ไม่มีมวลฝนก้อนใหญ่เข้ามาเติมระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ถือว่าไม่น่ากังวลเรื่องน้ำฝนในช่วงเฝ้าระวังนี้ โดยตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. เป็นต้นไป มวลอากาศเย็นจากจีนจะเริ่มแผ่ลงมาปกคลุม ทำให้อากาศเย็นลงและฝนลดลงอย่างชัดเจน

สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 11 พ.ย. 68 เวลา 7.00 น.

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำของประเทศ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 สภาพอากาศวันนี้ หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเมียนมา ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกและภาคกลางตอนล่าง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย

คาดการณ์ วันที่ 13 – 16 พ.ย. 2568 ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิลดลง กับมีอากาศเย็นในตอนเช้า เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนไปปกคลุมประเทศเมียนมา ในขณะที่ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับจะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง

สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม ปริมาณน้ำรวม 89% ของความจุเก็บกัก (71,713 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 82% (47,590  ล้าน ลบ.ม.)

การประเมินสถานการณ์แหล่งน้ำ แหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง ดังนี้ ภาคกลาง 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 5 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง

คุณภาพน้ำ ณ จุดเฝ้าระวัง แม่น้ำสายหลัก น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำเพื่อการเกษตร แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกันวานนี้ (10 พ.ย.2568) สทนช.ได้ประชุมติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

โดยที่ประชุมเปิดเผยว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ ‘คัลแมกี’ ส่งผลให้มีมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่เพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)

ที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนภูมิพล จากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในวันที่ 10 พ.ย. 68

ทั้งนี้ มวลน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท

ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เริ่มเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที

ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จึงมีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อเร่งคลี่คลายมวลน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด โดยขณะนี้ได้ประสานกรมชลประทานเพื่อระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำที่ยังมีพื้นที่รองรับเพิ่มเติม รวมทั้งจะเร่งดำเนินการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของเขื่อนเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด

คาดว่าการระบายมวลน้ำรอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 68 และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 - 3 ของเดือนธันวาคม

Water-situation-Flooding-in-Ang Thong-and-Bangkok-SPACEBAR-Photo V02.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์