ภาคธุรกิจหวั่นอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพาราชะงัก ชาวสวนชะลอโค่นต้นยาง เชื่อราคาดี ยังไปได้

17 ส.ค. 2568 - 05:34

  • เกษตรกรชาวสวนยางพาราเมินโครงการปลูกยางทดแทน เชื่อราคายังดี ชะลอการตัดโค่นต้นยาง

  • ภาคธุรกิจกังวลผลกระทบอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพาราชะงัก คาดสิ้นปีงบประมาณ 2568 โค่นต้นยางได้น้อย

  • หวั่นต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบไม้ยางป้อนโรงงานแปรรูป

ภาคธุรกิจหวั่นอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพาราชะงัก ชาวสวนชะลอโค่นต้นยาง เชื่อราคาดี ยังไปได้

อดิศร ตันเองชวนประธานสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ เปิดเผยถึงสถานการณ์ยางพารา และอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ว่า ปัจจุบันเกษตรกรมีการตัดโค่นต้นยางพาราน้อยลง ทำให้ไม้ยางพาราที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางสำหรับป้อนเข้าโรงงานลดลงเช่นกัน โดยเหตุผลหลักน่าจะมาจากราคายางพาราดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาอย่างมาก จนเกษตรกรไม่กล้าตัดสินใจที่จะตัดต้นยางขายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo03.jpg

ประกอบกับโครงการส่งเสริมโค่นต้นยางและปลูกยางแทนไร่ละ 16,000 บาท ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จำนวน 2,800 ล้านบาท ใกล้จะสิ้นสุดปีงบประมาณ 2568 ซึ่ง กยท.อนุมัติการปลูกแทนและเริ่มจ่ายเงินได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 กำหนดจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายน 2568 นี้ โดยสามารถโค่นต้นยางที่ครบอายุกรีดได้ประมาณ 200,000 ไร่ จากที่ผ่านมาจะโค่นต้นยางพาราได้ประมาณ 400,000 ไร่ ทำให้วัตถุดิบไม้ยางพาราที่เข้าสู่โรงงานแปรรูปลดน้อยลง แต่กำลังการผลิตแปรรูปไม้ยางของโรงงานยังเท่าเดิม การส่งออกในปีนี้เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่ผ่านมาการส่งออกไม้ยางพารา ปีละ 40,000 กว่าล้านบาท

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo04.jpg

“ประเทศจีนเองยังมีความต้องการไม้จากประเทศไทย ขณะนี้จีนมีการพัฒนาไม้ไปอีกรูปแบบหนึ่ง วันนี้จีนไม่ได้เอาไม้ยางพาราไปผลิตแค่เฟอร์นิเจอร์อย่างเดียว แต่สามารถทำอุตสาหกรรมตัวอื่นเช่น จีนสามารถเอาไม้ยางพาราไปผลิตทุกอย่างในอุตสาหกรรมทำเป็นไม้ปูพื้น ไม้ฝาผนัง ทำเป็นลามิเนต มีการเพิ่มมูลค่าของไม้ยางพาราขึ้นไปอีก”

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo06.jpg

ประธานสภาอุตฯภาคใต้ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พบว่านักลงทุนจากจีนหันมาลงทุนในประเทศไทย เพื่อได้สิทธิทางการค้า ลดต้นทุนการขนส่งไม้ยางแปรรูปจากเมืองไทยไปจีน และอยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบคือไม้ยางพารา นักลงทุนเหล่านี้ก็จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการตั้งโรงงานใหม่ ไม่ใช่การสวมสิทธิ์เพื่อให้ได้สิทธิทางการค้าแต่อย่างใด

“ขณะนี้พบว่าไม้ยางพาราที่ผลิตออกมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ถ้าส่งเข้าจีน 100% ปัจจุบันส่งประมาณ 80% อีก 20% นั้นใช้ในประเทศไทย และในปีหน้าคาดว่าอัตราการใช้ไม้ยางพาราแปรรูปในประเทศไทยจะเพิ่มถึง 35% ปัจจุบันนี้การทำอาชีพชาวสวนยางพารานั้นลดลง ในขณะที่โรงงานมีความต้องการใช้ไม้ยางพาราเพิ่มขึ้น” 

ในพื้นที่จังหวัดตรังที่มีการปลูกยางมากถึง 1,600,000 ไร่ ปัจจุบันลดลง เกษตรกรโค่นต้นยาง หันไปปลูกปาล์มและสวนผลไม้ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้น ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันประมาณ 400,000 - 500,000 ไร่

“ขณะที่การยางแห่งประเทศไทยยังส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกยางพารา โดยส่วนตัวก็เชื่อว่าคนยังปลูกยางพารา เพราะเมื่อถึงการโค่นไม้ยางที่ครบอายุกรีดก็จะได้เงินก้อนในการขายไม้ยางพารา ในอนาคตความต้องการใช้ยาง น้ำยางพารา และไม้ยางพาราเพิ่มขึ้น เพราะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้ออกไปมาก” 

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo05-1.jpg

ประธานสภาอุตฯภาคใต้ กล่าวต่อว่า ในอนาคตค่าขนส่งสินค้าไปต่างประเทศจะสูงขึ้น ทำให้จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพาราเป็นจำนวนมาก เพราะต้องการลดต้นทุนจากค่าขนส่งวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

“เมื่อจีนมาตั้งโรงงานผลิตสินค้าที่เมืองไทยมาก ก็เป็นโอกาสผู้ประกอบการโรงเลื่อยในการขายไม้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการจีนนำเข้าวัตถุดิบหรือไม้ยางพาราแปรรูป 3 ตู้เสียค่าขนส่ง 3 ตู้ หากมาตั้งโรงงานเมืองไทยผลิตสินค้ากลับไปขายที่จีน แค่ 1 ตู้ เสียค่าขนส่ง 1 ตู้ ประหยัดค่าขนส่ง 2 ตู้ แทนที่จะต้องจ่าย 3 ตู้เหมือนในอดีต”

“ขณะนี้ประเทศไทยจะมีแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้ประกอบการโรงงานจะต้องลงทุนไปกับการฝึกแรงงานมีฝีมือ เพราะในรอบหนึ่งปีจะพบแรงงานไม่มีฝีมือทำงานแล้วเกิดผิดพลาดทำให้วัตถุดิบเสียหายเป็นจำนวนมากปีละหลายล้านบาท

ดังนั้นเรื่องของฝีมือแรงงานมีความสำคัญมาก ไทยต้องมีแรงงานที่มีฝีมือป้อนเข้าสู่โรงงาน เมื่อพบปัญหาเช่นนี้รัฐควรจะเข้ามาให้การช่วยเหลือในเรื่องของการพัฒนาฝีมือแรงงาน ปัจจุบันนี้ทำอุตสาหกรรมก็เริ่มเหนื่อยอยู่เหมือนกันทำมาก็ไม่ค่อยจะเห็นกำไรเท่าที่ควรจะเป็น”

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo08.jpg

ด้าน วิรัตน์ อันตรัตน์ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีการปลูกยางในประเทศไทย 24 ล้านไร่ มีการปลูกทดแทนยาง ปลูกปาล์ม และปลูกผลไม้ ในปี 2568 ที่จะสิ้นสุด 30 กันยายนนี้ งบประมาณ 2,860 ล้านบาท เกษตรกรที่ขอปลูกทดแทนหลังการล้มยางพาราที่ครบอายุกรีด ซึ่งจะหันมาปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมันและผลไม้

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo01.jpg

“ข้อดีของการปลูกปาล์ม 4 ปีเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แรงงานเฉพาะตัดปาล์ม 15 วันต่อครั้ง ราคาปาล์มสดยังดี งบประมาณปี 2569 หากเกษตรกรที่รับการส่งเสริมปลูกยางจะได้ไร่ละประมาณ 20,000 บาท ส่วนผู้ที่โค่นต้นยางไปปลูกปาล์มได้ไร่ละ 12,000 บาท”

“จังหวัดตรังมีผู้ขอปลูกยางทดแทนชุดเก่า จะเหลือเกษตรกรชาวสวนยางยังปลูกยาง 5,000 กว่าไร่ หันมาปลูกปาล์ม 4 หมื่นกว่าไร่ ผลไม้ 100 กว่าไร่”

วิรัตน์ กล่าวว่า สถานการณ์ยางพื้นที่ จ.ตรัง ในอดีตปลูกยาง 1.6 ล้านไร่ ปัจจุบันเหลือ 1.1 ล้านไร่ ยางกรีดได้ 9.4 แสนไร่ จากสาเหตุที่ชาวสวนโค่นต้นยางหันไปปลูกพืชชนิดอื่นก็เพราะราคาน้ำยาง และยางแผ่นรมควัน ตกต่ำมาตลอดมาหลายปี ราคาปาล์ม จูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มมากยิ่งขึ้น อนาคตยางพาราในประเทศไทย ยังไม่ดีด้วยสาเหตุราคายางตกต่ำ ทำให้ชาวสวนยางหันไปปลูกปาล์มเพื่อความอยู่รอด ต้นยางพาราครบอายุ 25-30ปี ปัจจุบันราคาไม้ยางตันละ 2,200 บาท 

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo02.jpg

“หากจะให้เกษตรกรหันมาปลูกยางเหมือนเดิม มีความมั่นคงในอาชีพ ราคาน้ำยางสดรับซื้อกิโลกรัมละ 70 บาทเป็นอย่างน้อย รัฐต้องลดพื้นที่ปลูกยางลงทั่วประเทศ ส่วนที่มีนักลงทุนจีนมาตั้งโรงงานผลิตสินค้าจากไม้ยาง ก็ไม่ทำให้ราคาไม้ยางสูงขึ้นแต่อย่างใด ในอดีตไม้ยางตันละ 2,800 บาท โดยเฉลี่ยต้นยางที่สมบูรณ์เต็มที่จะมีน้ำหนัก ต้นละ 1 ตัน” วิรัตน์ กล่าว

The-rubber-situation-in-Trang-Province-Farmers-are-planting-less-rubber-SPACEBAR-Photo07.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์