ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้ปัจจุบันมีผู้ป่วย “โรคไต” เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีทางการแพทย์เอื้อให้ผู้ป่วยสามารถล้างไตที่บ้านเพื่อลดภาระของโรงพยาบาลและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย ทว่า กลับหลงเหลือ “ขยะพลาสติกทางการแพทย์” จำนวนมหาศาลที่มักไร้การจัดการอย่างเหมาะสม ท่ามกลางวิกฤติสุขภาพที่ซ้อนทับกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โลกจึงต้องการทางออก ล่าสุด บริษัทแวนทีฟ (Vantive) ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีrร้อมนำเสนอโซลูชั่นนั้นด้วยการแปลง “ขยะพลาสติก” จากการรักษาทางการแพทย์ให้กลายเป็นทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable Resources) ผ่านโครงการรีไซเคิลระดับภูมิภาคที่เริ่มต้นแล้วใน 4 ประเทศหลักของเอเชียแปซิฟิก

พลิกขยะพลาสติกจากการรักษาเพิ่มโอกาสทางสิ่งแวดล้อม
โครงการนี้มุ่งจัดการวัสดุเหลือใช้จากการล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis: PD) ที่ดำเนินการโดยผู้ป่วยที่บ้าน เช่น ถุงน้ำยาล้างไตและท่อพลาสติกใช้แล้ว ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทั่วโลก ภายใต้แนวคิด Circular Economy หรือระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน วัสดุเหล่านี้จะถูกคัดแยกและรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กระเบื้อง PVC สำหรับพื้นโรงพยาบาล รองเท้าบูทกันน้ำ สายยาง ไปจนถึงถุงใส่ยา โดยอาศัยความร่วมมือกับองค์กรด้านสุขภาพ โรงพยาบาล และผู้ประกอบการรีไซเคิลในแต่ละประเทศ
หนึ่งในหลักการสำคัญของโครงการ คือการนำนโยบาย Extended Producer Responsibility (EPR) หรือการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต มาประยุกต์ใช้ในภาคการแพทย์ ซึ่งยังถือว่าเป็นแนวทางใหม่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

4 ประเทศนำร่องเชื่อมภาคสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม
มาเลเซีย
โครงการ “Jom Recycle” เริ่มต้นในปี 2024 จากความร่วมมือของหลายภาคส่วน รวมถึงมูลนิธิโรคไตแห่งชาติ บริษัทด้านโลจิสติกส์ทางการแพทย์ และองค์กรรีไซเคิลท้องถิ่น โดยเน้นการจัดเก็บถุงน้ำยาใช้แล้วเพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นกระเป๋าและถุงใส่ยา ถือเป็นต้นแบบการประยุกต์ใช้ EPR ในระบบสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม
ประเทศไทย
ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลเอกชน บริษัทด้านปิโตรเคมี และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง เป้าหมายคือการรีไซเคิลถุงน้ำยาล้างไตให้เป็นกระเบื้อง PVC ซึ่งได้เริ่มใช้งานจริงในโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ โดยคาดว่าจะสามารถช่วยลดขยะพลาสติกได้ถึง 145 ตันต่อเดือน
ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
สนับสนุนผู้ป่วยล้างไตที่บ้านกว่า 1,000 ราย พร้อมจัดระบบเก็บขยะทางการแพทย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งถุงพลาสติก ท่อ และกล่องกระดาษ ซึ่งถูกนำไปรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น รองเท้าบูทและสายยาง
จากการบำบัดที่บ้าน สู่นวัตกรรมเพื่อโลกและชีวิต
นอกจากแนวทางด้านสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ยังสะท้อนมิติใหม่ของการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เน้นการรักษาที่บ้าน ควบคู่กับการใช้ เทคโนโลยีดิจิทัล ในการติดตามและดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล
ระบบแพลตฟอร์มสื่อสารแบบสองทางถูกนำมาใช้เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถตรวจสอบข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ ลดค่าใช้จ่าย และลดความจำเป็นในการเดินทางมายังโรงพยาบาล
นวัตกรรมเหล่านี้ถูกนำเสนออย่างเป็นทางการในงานประชุมวิชาการระดับภูมิภาค ISPD 2025 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเน้นย้ำว่าโรคไตเรื้อรังกำลังกลายเป็นภัยเงียบที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ของประชากรโลกภายในปี 2040

สร้างระบบสุขภาพที่ไม่ทิ้งสิ่งแวดล้อมไว้ข้างหลัง
นายสตีเวน ฟลินน์ ผู้บริหารระดับภูมิภาค กล่าวว่าโครงการนี้พิสูจน์แล้วว่า การดูแลสุขภาพและการจัดการสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน
“การล้างไตที่บ้านช่วยให้ผู้ป่วยมีอิสระและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เราต้องไม่ละเลยขยะที่ตามมา cละความยั่งยืนควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบการรักษาตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง”
— นายสตีเวน ฟลินน์ กล่าว
ในบริบทของประเทศไทย การมีบทบาทเป็นหนึ่งในประเทศนำร่อง ไม่เพียงแสดงถึงศักยภาพของระบบสุขภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ภาครัฐพิจารณานโยบายสนับสนุน เช่น มาตรการภาษีสำหรับธุรกิจที่มีส่วนร่วมในระบบ EPR หรือการออกแนวทางการจัดการขยะทางการแพทย์ที่เน้นความยั่งยืน
ล้างไต...ไม่ล้างโลก!
เพราะสุขภาพของคน เท่ากับสุขภาพของโลก ในยุคที่ระบบสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งโรคเรื้อรังและวิกฤติสิ่งแวดล้อม การบูรณาการทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกันอาจไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “ทางรอด” และการแปลงขยะทางการแพทย์ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่คือภาพสะท้อนว่าการดูแลชีวิตคนกับการดูแลโลกใบนี้ สามารถเดินไปพร้อมกันได้จริงและยั่งยืน


