สัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ระดับโลกประเด็นสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดขององค์การสหประชาชาติ เตรียมประกาศคำวินิจฉัยคดีประวัติศาสตร์ หนึ่งในคดีเชิงสัญลักษณ์ของ “ประเทศเปราะบาง” ต่อ “ประเทศมหาอำนาจ” หรือที่ถูกตั้งฉายาว่า “David vs Goliath” การต่อสู้ของประเทศเล็กๆ เช่น วานูอาตู ตูวาลู นาอูรู ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะการเพิ่มของระดับน้ำทะเล จากประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในโลก เช่น สหรัฐฯ จีน หรือประเทศกลุ่ม G20
กรณีนี้เป็นการเรียกร้อง “ความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ” (Climate Justice) ที่สำคัญที่สุดในเวทีโลกในรอบหลายปี และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่บีบให้ประเทศผู้ก่อมลพิษสูงต้อง “รับผิดชอบ” ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดน เชื่อมโยงแนวคิด “Loss and Damage” หรือการชดเชยความสูญเสียจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม วาตภัย ความแห้งแล้ง ที่บางประเทศไม่ก่อแต่ต้องรับผลกระทบ
จุดเปลี่ยนของกฎหมายสิ่งแวดล้อมจากคำวินิจฉัย ICJ
“สิทธิมนุษยชนในการมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด สุขภาพดี และยั่งยืนนั้น เป็นสิทธิที่มีอยู่โดยธรรมชาติ เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิมนุษยชนอื่นๆ อย่างเต็มที่”
— ยูจิ อิวาซาวะ ประธานศาล ICJ กล่าวในการอ่านคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยเชิงที่ปรึกษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ล่าสุดนี้ กลายเป็นหมุดหมายใหม่ของกฎหมายสิ่งแวดล้อม โดยศาลระบุว่าสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด สุขภาพดี และยั่งยืน คือ “สิทธิมนุษยชนพื้นฐาน” และรัฐมีพันธกรณีทางกฎหมายที่จะต้องปกป้องสภาพภูมิอากาศเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญจากคำวินิจฉัยของศาลโลก
สิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับว่าสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนโดยตรง ดังนั้น รัฐที่ละเลยหน้าที่นี้อาจถูกมองว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในอนาคต ลดช่องทางปฏิเสธความรับผิดของรัฐต่อวิกฤตภูมิอากาศ
สร้างบรรทัดฐานกฎหมายใหม่ แม้คำวินิจฉัยนี้เป็นเพียงคำแนะนำ (Advisory Opinion) แต่มีสถานะสูงในระบบ UN ที่อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ทางกฎหมายในอนาคต และคำวินิจฉัยนี้อาจถูกใช้เป็นหลักฐานในคดีสิ่งแวดล้อมต่อรัฐหรือบริษัทเพื่อรักษาสิทธิผู้ได้รับผลกระทบรับรองหลักฐานว่า
โลกร้อนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ศาลโลกยืนยันว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีสาเหตุจากกิจกรรมมนุษย์อย่างชัดเจน
ศาลโลกยืนยันเป้าหมาย 1.5°C เป็นเป้าหมายสากล ศาลโลกระบุว่าจำกัดอุณหภูมิไม่เกิน 1.5°C ควรเป็นแนวนโยบายหลักของรัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดดันทางกฎหมายให้เกิดการลดคาร์บอนจริงจัง
บทบาทของประเทศเล็กในเวทีโลก วานูอาตู และรัฐหมู่เกาะที่มีส่วนผลักดันคดีนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐขนาดเล็กก็ใช้กฎหมายสากลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมได้
ดังนั้น คำวินิจฉัยของ ICJ ครั้งนี้ แม้จะไม่ผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่มีน้ำหนักทางหลักการสูงมาก และจะกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการทำให้ประเทศต่างๆ ไม่สามารถเพิกเฉยต่อหน้าที่ในการปกป้องโลกได้อีกต่อไป

ศาลโลกถูกขอให้วินิจฉัยเรื่องอะไร?
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ย้อนกลับไปในปี 2019 จากการรณรงค์ของกลุ่มนักเรียนในหมู่เกาะแปซิฟิก ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ หันไปหาศาลโลกเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากวานูอาตู ประเทศอื่นๆ และหน่วยงานสำคัญรวมกว่า 130 องค์กร จนนำไปสู่การที่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ลงมติส่งเรื่องอย่างเป็นทางการให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเดือนมีนาคม 2023
“คดีนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์สำคัญทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังถือเป็นช่วงเวลาแห่งการกำหนดอนาคตของขบวนการความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) และเป็นแสงแห่งความหวังสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต”
— โจแธม นาพัท นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู กล่าวก่อนหน้าวันฟังคำวินิจฉัย
เปลี่ยนจาก “คำมั่นสัญญา” สู่ “ความรับผิดชอบ”
เนื้อหาหลักที่ ICJ ถูกขอให้วินิจฉัยมีสองข้อสำคัญ ประกอบด้วย รัฐมีพันธกรณีอะไรตามกฎหมายระหว่างประเทศในการป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งต่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
อีกประเด็นคือ ผลทางกฎหมายควรเป็นเช่นไร หากรัฐไม่ปฏิบัติตามพันธกรรมนั้นและก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมหรือมนุษย์
คำถามทั้งสองข้อนี้มีนัยสำคัญอย่างลึกซึ้ง เพราะหากศาลตอบว่า รัฐมีพันธกรณีที่ผูกพันตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน กฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือหลักความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ก็หมายความว่าการละเว้นไม่ดำเนินการต่อวิกฤตโลกร้อนอย่างเหมาะสม อาจถือเป็น “การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”

ความยุติธรรมของประเทศเปราะบาง
ความน่าสนใจของคดีนี้ไม่ได้อยู่แค่ในสาระของกฎหมาย หากแต่อยู่ในพลวัตทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
หลายประเทศที่สนับสนุนคำร้องนี้เป็นประเทศหมู่เกาะเล็ก หรือประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา เอเชีย และแปซิฟิก ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนโดยตรง ทั้งน้ำทะเลที่สูงขึ้น พายุที่รุนแรงขึ้น ความเค็มที่แทรกซึมในแหล่งน้ำจืด หรือแม้แต่การที่ประชาชนต้องเตรียมอพยพย้ายถิ่นฐาน
นายกรัฐมนตรีของวานูอาตู กล่าวว่า การยื่นคำร้องนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ศาลวินิจฉัย แต่เพื่อยืนยันว่ารัฐมีพันธกรณีทางกฎหมายในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะเมื่อการกระทำของรัฐนั้นก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน
ความเคลื่อนไหวที่เริ่มจากเยาวชนอาจเขย่าระบบโลก
สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นคือ การที่ต้นเรื่องไม่ได้มาจากรัฐมหาอำนาจ หรือองค์กรข้ามชาติ หากเริ่มต้นจากกลุ่มนักเรียนบนหมู่เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นเยาวชน หากคือประชากรกลุ่มแรกที่ต้องเผชิญกับผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง
กรณีนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังภาคประชาสังคม ที่สามารถผลักดันให้เกิดการตีความกฎหมายระดับสูงสุดในเวทีสากล
ผลสะเทือนที่อาจตามมา
การฟ้องร้อง ค่าชดเชย และการเปลี่ยนท่าทีของรัฐ
นักวิเคราะห์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศประเมินว่า คำวินิจฉัยนี้อาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเรียกร้อง “Loss and Damage” หรือการชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงมายาวนานในเวทีเจรจา COP
ยิ่งไปกว่านั้น คำวินิจฉัยนี้อาจใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องประเทศหรือบริษัทที่ปล่อยคาร์บอนในระดับสูง และก่อให้เกิดผลกระทบที่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือโรคระบาดที่เชื่อมโยงกับสภาพอากาศ
จุดเปลี่ยนก่อนเวที COP30 กฎหมายจะนำหน้าการเมือง?
คำวินิจฉัยของศาล ICJ ที่กำลังจะประกาศ อาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” หรือกรอบอ้างอิงที่มีผลต่อการเจรจาสภาพภูมิอากาศในเวที COP30 ที่บราซิลปลายปีนี้ จากเดิมที่การเจรจามักวนเวียนอยู่กับ “คำมั่นสัญญา” และ “เป้าหมายสมัครใจ” คำวินิจฉัยของศาลโลกอาจเปลี่ยนเกมสู่การตั้งคำถามว่า “ใครรับผิดชอบ และอย่างไร?”
กฎหมายจะกลายเป็นเครื่องมือของความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศได้หรือไม่?
โลกอาจไม่เปลี่ยนแปลงภายในวันเดียวหลังจากคำวินิจฉัยของศาล ICJ ถูกเผยแพร่ แต่อย่างน้อยที่สุด มันอาจเปลี่ยน “ฐานคิด” ของการจัดการกับปัญหาโลกร้อน จากคำมั่นที่ว่างเปล่า สู่โครงสร้างทางกฎหมายที่มีความรับผิดชอบ
ไม่ว่าจะมองในฐานะคดีความกรอบทางกฎหมาย หรือการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรม คดีนี้คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าประชาชนกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่ที่กำลังจะจมหายไป มีพลังในการเปลี่ยนแปลงระบบโลกที่ใหญ่เกินคาด