‘กลิ่นศพชายแดน’ ความน่ากังวลเชิงจริยธรรม-สิ่งแวดล้อม ภัยซ่อนเร้นในประเด็นความขัดแย้ง

5 ส.ค. 2568 - 05:37

  • ศพที่ย่อยสลายในสภาพมีออกซิเจนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนศพในสภาพไร้ออกซิเจนจะปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซไข่เน่าที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง

  • กรมอนามัยแนะแนวทางจัดการ “กลิ่นจากซากศพ” ป้องกันโรคระบาดชายแดน

  • “สันติภาพ” คือรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายอื่นๆ ไม่มี SDGs ใดจะประสบความสำเร็จ หากความสงบสุขยังไม่บังเกิด

‘กลิ่นศพชายแดน’ ความน่ากังวลเชิงจริยธรรม-สิ่งแวดล้อม ภัยซ่อนเร้นในประเด็นความขัดแย้ง

กรณีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้ตามแนวชายแดน บริเวณภูมะเขือ กำลังเป็นวิวาทะทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ทว่า เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ยังมีอีกหนึ่งมิติสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งแฝงอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้

รายงานจากทหารพรานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ระบุว่าได้กลิ่นเน่าอย่างรุนแรงในบริเวณป่าทึบ และมีเสียงสุนัขหอนยามค่ำคืน ซึ่งต่อมาถูกยืนยันว่าเป็นกลิ่นที่มาจากศพทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากการปะทะ และไม่ได้รับการจัดการหรือฝังอย่างถูกต้อง ส่งผลให้เกิดกระบวนการย่อยสลายซากศพตามธรรมชาติในสภาพอากาศร้อนชื้นของป่าดิบเขตแดน

รายงานข่าว ระบุ

แม้กระบวนการเน่าเปื่อยจะเป็นกลไกทางชีวภาพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากขาดระบบจัดการที่เหมาะสม ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นกว้างขวาง ทั้งในมิติสุขอนามัย ความปลอดภัยของชุมชน ระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ก๊าซเรือนกระจกจากศพ ผลกระทบที่ไม่ควรละเลย

สภาพร่างไร้วิญญาณที่ย่อยสลายในสภาพมีออกซิเจน (aerobic) จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ขณะที่ศพในสภาพไร้ออกซิเจน (anaerobic) ซึ่งเกิดขึ้นได้ในดินชื้นหรือป่าทึบ จะปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) และก๊าซไข่เน่า (H₂S) ที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง

ตามรายงาน IPCC Fifth Assessment Report เผยก๊าซมีเทนมีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 84 เท่า ในช่วงเวลา 20 ปีแรกหลังถูกปล่อย (GWP20) กรณีนี้แม้การปล่อยก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายศพจะเกิดขึ้นในปริมาณไม่มากนัก แต่หากศพมีจำนวนมากก็อาจมีผลกระทบต่อดุลยภาพของระบบนิเวศชายแดน

กลิ่นโชยชายแดน ภัยซ่อนเร้นในประเด็นความขัดแย้ง

การละเลยการจัดการศพอย่างเหมาะสมไม่เพียงสร้างปัญหาทางจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาวะเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในหลายมิติ ดังนี้

1. การปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมจากของเหลวและเชื้อโรค

  • ของเหลวจากศพอาจซึมลงดินและปนเปื้อนแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ลำห้วยหรือบ่อน้ำในพื้นที่ชายแดน
  • อาจนำพาเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว เข้าสู่สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชาวบ้านยังคงพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก

2. ความเสี่ยงด้านสาธารณสุข

  • กลิ่นเหม็นจากศพสามารถดึงดูดแมลงวัน หนู สุนัขจรจัด และแร้ง ซึ่งเป็นพาหะของโรค
  • อาจก่อให้เกิดโรคติดต่อ เช่น บาดทะยัก โรคฉี่หนู และโรคทางเดินอาหารจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำเน่า

“ส่วนการป้องกันการเกิดโรคระบาดที่อาจมาจากสัตว์พาหะและแมลงนำโรคกัดแทะหรือไต่ตอมศพ แนะนำให้ป้องกันตนเองโดยไม่ให้แมลงหรือสัตว์พาหะกัดร่างกาย อาจเลือกใช้ยาทาป้องกันแมลง หรือสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด การป้องกันการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ งดการนำน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงมาใช้ หากพบว่าน้ำมีความเสี่ยงปนเปื้อนสารคัดหลังจากศพลงแหล่งน้ำ ในกรณีการปนปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดิน เนื่องจากศพเป็นสารอินทรีย์ที่ย่อยสลาย การปนเปื้อนจึงเป็นไปตามธรรมชาติ  เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้นขอให้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ เช่น น้ำใต้ดิน ประปาชุมชน ด้วยการเติมคลอรีนให้ได้มาตรฐานไม่น้อยกว่า 0.2-0.5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือการต้มที่อุณหภูมิไม่น้อยกว่า 100 องศาเซลเซียส เพื่อฆ่าเชื้อโรค ส่วนการจัดการกับกลิ่นนั้นให้ใช้หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันเชื้อโรคในอากาศ หรือหน้ากากผงถ่านกัมมันต์”

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย ให้สัมภาษณ์

3. การเสียสมดุลของระบบนิเวศ

  • การรวมตัวของสัตว์กินซากในจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในพื้นที่
  • มีความเสี่ยงของโรคจากสัตว์สู่คน (zoonotic diseases) โดยเฉพาะหากมีการแพร่เชื้อจากศพไปสู่สัตว์ป่า

4. ผลกระทบเชิงจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ

  • การไม่จัดการศพอาจละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้เสียชีวิตในสถานการณ์ความขัดแย้ง
  • มิติการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ และอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลของกัมพูชาเอง

กรมอนามัย แนะวิธีลดกลิ่นและเชื้อโรค

นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กลิ่นซากสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นภายหลังจากสิ่งมีชีวิตได้เสียชีวิตลงไปแล้วประมาณ 3 วันและกลิ่นจะหายไปตามระยะเวลา โดยปกติซากสิ่งมีชีวิตจะย่อยสลายได้ภายใน 8–11 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ จึงทำให้ประชาชนยังคงได้รับกลิ่นเหม็นรบกวนอยู่อย่างต่อเนื่อง 

การจัดการซากสิ่งมีชีวิตอาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องของระบบบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน เพื่อเน้นถึงความปลอดภัยของทีมเจ้าหน้าที่ที่ต้องลงปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้าเป็นสำคัญ ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วการจัดการปัญหากลิ่นซากสิ่งมีชีวิต สามารถทำได้โดยการฝังกลบซากหรือการใช้ปูนขาวโรยไปยังซากที่ส่งกลิ่น เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นรบกวนและป้องกันการเกิดเชื้อโรคกระจายไปในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ การป้องกันปัญหาโรคระบาดหรือโรคติดต่อที่มาจากซากสิ่งมีชีวิตสามารถดำเนินการได้โดยการป้องกันสัตว์และแมลงนำโรค ไม่ให้บินมาตอมบนร่างกาย ตลอดจนอาหารและแหล่งน้ำที่อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้ ดังนั้น ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด่านหน้าจึงควรเลือกรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ทราบแหล่งที่มาของอาหารที่ชัดเจน

พื้นที่ชายขอบดินแดนเปราะบางทางนิเวศ

แนวป่าพนมดงรัก และเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง หากปล่อยให้ซากศพมนุษย์ตกค้างในพื้นที่โดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ รวมถึงแหล่งน้ำที่ชาวบ้านและสัตว์ป่าพึ่งพาอย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ครั้งนี้ควรเป็นบทเรียนสำคัญที่กระตุ้นให้ทั้งสองประเทศบูรณาการประเด็นการจัดการซากศพเข้าสู่กรอบความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยเฉพาะในบริบทของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และระบบนิเวศ

เหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งนี้ อาจถูกมองเป็นเพียงความขัดแย้งทางทหาร แต่แท้จริงแล้วได้เผยให้เห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่แฝงอยู่ในเบื้องหลังของความรุนแรง ความสูญเสีย และการเพิกเฉยต่อมาตรฐานการจัดการที่ยั่งยืน การแก้ไขไม่ควรจำกัดอยู่เพียงในแวดวงการเมือง หากต้องขยายไปสู่การวางระบบที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ควบคู่กันไป

“สันติภาพ” กับ “SDGs” จากกรณีศพชายแดน

สันติภาพ คือรากฐานของการพัฒนาเป้าหมายอื่นๆ คำนี้ไม่เกินจริง ยิ่งในกรณีเหตุการณ์ศพทหารแนวชายแดน ยิ่งเผยให้เห็นผลกระทบทั้ง 5 มิติ คือ สังคม (People) เศรษฐกิจ (Prosperity) สิ่งแวดล้อม (Planet) สันติภาพและสถาบัน (Peace) และหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership)

ศพที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ส่งผลกับดินและแหล่งน้ำ ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมาย SDG 13 (Climate Action), SDG 15 (Life on Land) และ SDG 6 (Clean Water and Sanitation) นอกจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ยังมีประเด็นด้านสาธารณสุขที่ชุมชนชายแดนต้องเผชิญ ทั้งความเสี่ยงของโรคติดต่อจากศพ การปนเปื้อนน้ำ และการแพร่เชื้อผ่านสัตว์กินซาก กรณีนี้จึงโยงไปถึง SDG 3 (Good Health and Well-being) ขณะเดียวกัน การปล่อยให้ศพไร้การจัดการยังละเมิดหลักมนุษยธรรม และสะท้อนถึงการขาดระบบสถาบันที่เข้มแข็งตามแนวทางของ SDG 16 (Peace, Justice and Strong Institutions) ซึ่งเน้นการสร้างสันติภาพและความยุติธรรมอย่างยั่งยืน

เพื่อไม่ให้ประเด็นนี้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่บ่อนทำลายทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และศีลธรรมในพื้นที่ชายแดน ขอเสนอให้ไทยและกัมพูชาสร้างกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดนในการจัดการศพอย่างมีศักดิ์ศรีและปลอดภัย ซึ่งจะเป็นก้าวแรกของ SDG 17 (Partnerships for the Goals) และเป็นการยืนยันว่า “สันติภาพ” คือรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายอื่นๆ ไม่มี SDGs ใดจะประสบความสำเร็จ หากความสงบสุขยังไม่บังเกิด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์