ที่โลกร้อนขึ้นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาหารที่เรากิน คุณเชื่อเรื่องนี้แค่ไหน?
ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นเป้าหมายร่วมของทุกประเทศในโลก ทว่า ขณะที่เราให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานจากรถยนต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม “จานอาหารตรงหน้า” กลับเป็นต้นตอที่เรายังมองข้าม
งานวิจัยจาก Our World in Data พบว่า การผลิตเนื้อวัวเพียง 1 กิโลกรัม ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 99.48 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ใช้น้ำกว่า 15,000 ลิตร และต้องใช้พื้นที่จำนวนมากสำหรับการเลี้ยงวัวและปลูกพืชอาหารสัตว์
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ การกินสเต๊กเนื้อเพียง 1 จานใหญ่ๆ มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์เทียบเท่ากับการนั่งเครื่องบินจากนิวยอร์กไปลอนดอน ...จริงหรือ?
กินเจ = ลดโลกร้อน
เทศกาลกินเจไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา แต่ยังเป็นโอกาสที่ช่วยให้ผู้บริโภคหันมาทบทวนถึง “ผลกระทบจากอาหารที่เรากิน” ต่อโลกใบนี้

มาดู 5 เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “กินเจ” ช่วยลดโลกร้อน
1.ลดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) จากสัตว์เคี้ยวเอื้อง
อย่างที่เรารู้ วัว แกะ และแพะ เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการหมักอาหารในกระเพาะ ซึ่งมีเทน (CH₄) เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่า CO₂ ราว 20-30 เท่า ในช่วง 100 ปีตามรายงานของ IPCC
วัว 1 ตัว ปล่อยก๊าซมีเทนประมาณ 250-500 ลิตรต่อวัน แค่ในสหรัฐฯ ฟาร์มปศุสัตว์ปล่อยมีเทนรวมกว่า 9.5 ล้านตันต่อปี
ดังนั้น การลดการบริโภคเนื้อวัวแม้เพียงสัปดาห์ละครั้ง จึงช่วยลดการผลิตมีเทนได้ในระดับมหาศาล
2. ลดการใช้น้ำอย่างมหาศาลในกระบวนการผลิตอาหาร
กระบวนการเลี้ยงสัตว์ใช้น้ำในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูกพืชอาหารสัตว์ ไปจนถึงการเลี้ยง และแปรรูป
- เนื้อวัว 1 กิโลกรัม ใช้น้ำ 15,415 ลิตร
- มันฝรั่ง 1 กิโลกรัมใช้น้ำเพียง 255 ลิตร
- ข้าวสารใช้น้ำเฉลี่ย 2,497 ลิตรต่อกิโลกรัม
หากคนไทย 1 ล้านคน งดกินเนื้อวัว 1 มื้อ เท่ากับประหยัดน้ำได้มากกว่า 15,000 ล้านลิตร นี่แค่มื้อเดียว!
3. ลดการตัดไม้ทำลายป่าและการถางพื้นที่เพื่อเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ป่าโดยเฉพาะในอเมริกาใต้ เช่น แอมะซอนถูกแผ้วถางอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ถั่วเหลือง และเลี้ยงวัว รายงานของ FAO ระบุว่า ราว 80% ของการตัดป่าในแอมะซอน มีเป้าหมายเพื่อขยายพื้นที่ปศุสัตว์
พื้นที่ 1 เฮกตาร์ (2.5 เอเคอร์) สามารถผลิตเนื้อวัวได้ราว 250 กิโลกรัม/ปี แต่หากใช้ปลูกพืช เช่น ถั่ว หรือข้าว สามารถผลิตอาหารได้มากกว่า 4,000 กิโลกรัมต่อปี
ดังนั้น หากลดเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเราช่วยลดความจำเป็นในการขยายพื้นที่เพาะเลี้ยง และรักษาป่าไม้ที่ดูดซับ CO₂ ของโลก
4. ลดมลพิษในแหล่งน้ำและดินจากฟาร์มสัตว์
ฟาร์มเลี้ยงสัตว์จำนวนมากเป็นแหล่งปนเปื้อนของแอมโมเนีย ยาปฏิชีวนะ และสารเคมีจากของเสีย ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง และระบบน้ำใต้ดิน
ข้อมูลจาก EPA สหรัฐฯ พบว่า ฟาร์มปศุสัตว์เป็นแหล่งมลพิษอันดับต้นๆ ต่อแหล่งน้ำจืด
ฟาร์มหมูขนาดใหญ่ 1 แห่ง สามารถผลิตมูลสัตว์ได้เทียบเท่ากับเมืองที่มีประชากร 100,000 คน
ของเสียเหล่านี้ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์โดยตรง เช่น โรคทางเดินหายใจ และการดื้อยาจากการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์
5. ลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂O) จากการใช้ปุ๋ยเคมี
ไนตรัสออกไซด์ (N₂O) เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีพลังในการทำให้โลกร้อนมากกว่า CO₂ เกือบ 300 เท่า!!
และฟาร์มปศุสัตว์ปล่อย N₂O จากการย่อยสลายของเสียและการใช้ปุ๋ยเคมีในการปลูกอาหารสัตว์
ขณะที่พืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ต้องใช้ปุ๋ยไนโตรเจนสูง ซึ่งเป็นแหล่งปล่อย N₂O โดยตรง
การลดการผลิตเนื้อสัตว์จึงไม่เพียงลดการปล่อย CO₂ แต่ยังตัดต้นตอของก๊าซเรือนกระจกชนิดรุนแรงอื่นๆ อีกด้วย

กินเจ 9 วัน...โลกได้อะไรบ้าง?
- ถ้าเราลดการกินเนื้อวัวได้ 1 กิโลกรัม เท่ากับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO₂e) ได้ประมาณ 100 กิโลกรัม
- กินอาหารจากพืช ช่วยลดการใช้น้ำได้เฉลี่ยมากถึง 15,000 ลิตรต่อมื้อ เมื่อเทียบกับอาหารจากเนื้อวัว
- งดเนื้อสัตว์เพียง 1 วัน ลดการใช้ทรัพยากรที่ดิน ป่าไม้ และพลังงานได้อย่างมหาศาล
- งดเนื้อสัตว์ 1 ปี (สำหรับคู่รัก 2 คน) ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 2,440 กิโลกรัม CO₂e เทียบเท่ากับการงดใช้รถยนต์ครอบครัวนานถึง 6 เดือน
จะดีแค่ไหนถ้าเทศกาลเจปีนี้ เราได้สุขภาพดี…โลกได้อนาคต
อ่านมาถึงตรงนี้ก็เห็นแล้วว่าเพียงเราหยุดกินเนื้อสัตว์ชั่วคราว ก็อาจสร้างผลลัพธ์ระยะยาว และได้ช่วยโลกอย่างยั่งยืน ดังนั้น หากเราเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ “การกินอย่างยั่งยืน” ตั้งแต่วันนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับวิกฤตโลกร้อนที่เรากำลังเผชิญอยู่
กินเจปีนี้เริ่มเลย!! เพื่อโลกที่เย็นลงในปีต่อๆ ไป



