หลายปีมาแล้ว ที่ 'กรุงเทพฯ' เริ่มนิยามตัวตน เป็นเมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม และงานศิลปะ เรามักพบเห็นการจัดกิจกรรมอาร์ตๆ ถูกจัดขึ้นอยู่เนื่องๆ เพื่อสอดรับกระแสจากสังคมและนานาชาติ ล่าสุด 'กทม.' เป็นเจ้าภาพในการทำแคมเปญ Krung Thep Creative Street โดยใช้ 'พื้นที่เมือง' เป็นแหล่งแสดงผลงาน 'สตรีทอาร์ต' จากศิลปินท้องถนนไทยและต่างชาติ
ทว่ากระแสชื่นชมกลับยังไม่ทันซา ก็เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นประเด็นดราม่าบนสังคม เมื่อมี 'กลุ่มกราฟิตี้' เข้าไป 'พ่นสีทับ' ลงบนผลงานเหล่านั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้จัดและชุมชน แต่ยังกลายเป็นประเด็นร้อนที่โลกออนไลน์ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง บางเสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ในขณะที่อีกด้านตั้งคำถามต่อเส้นแบ่งอันบางเบาระหว่าง 'การทำลายทรัพย์สินสาธารณะ' กับ 'การแสดงออกทางศิลปะ'
คำถามยิ่งทวีความซับซ้อนเมื่อสังคมเริ่มหยิบยกประเด็นเรื่อง 'มาตรฐานความงาม' เข้ามาเกี่ยวข้อง ขยายผลไปถึงการตั้งแง่ว่าเป็นประเด็นทาง 'อาชญากรรม - การตีความเชิงศิลป์' ที่ไม่ควรค่าแก่การยกย่อง
เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ในมิติที่ลึกซึ้งและรอบด้าน SPACEBAR จึงชวน 'ศิลปินสตรีทอาร์ต' ผู้หนึ่ง ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงศิลปะท้องถนนมายาวนาน เขามีประสบการณ์มากพอ ที่จะช่วยสังเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าว ในทุกๆ แง่มุม
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้เป็นมาตรวัด ‘ถูก - ผิด’ แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวในมิติที่หลากหลายของสังคม และสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านมุมมองของ ‘ศิลปิน’ ที่ผู้อ่านจะได้รับทราบต่อจากนี้
กราฟิตี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ : การแสดงออกของคนรุ่นใหม่ที่มีรากฐานยาวนาน
“ถ้าเราพูดถึงคนทั่วไป กราฟิตี้หรือสตรีทอาร์ตมันอาจจะดูใหม่ ดูเป็นเรื่องวัยรุ่น ดูเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ แต่ความจริงมันมีมาตั้งแต่ยุค 70, 80, 90 แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดในวันนี้”
แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เกริ่นที่มาคร่าวๆ ให้ฟัง พร้อมอธิบายว่า ศิลปะบนท้องถนนนั้นแบ่งออกเป็น 2 สายหลัก ได้แก่ 'กราฟิตี้' ดั้งเดิมที่เน้นการประกาศตัวตนและความเป็นกลุ่มของ 'นักพ่นสี' และ 'สตรีทอาร์ต' ที่มุ่งเน้นการสื่อสาร ความหมายต่างๆ ทั้งแง่มุม สังคม - การเมือง ที่ประณีตสวยงาม
แม้จะดูมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง แต่พัฒนาการของ 'กราฟิตี้' ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพ่นตัวอักษรบนกำแพง แต่มีการดีไซน์ ในรูปแบบต่างๆ ที่สื่อสารเรื่องราวหรือข้อความเฉพาะกลุ่มผู้ชม แม้หลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการมานาน นี่คือวิถีทางใน 'การแสดงออก' และ 'ประกาศตัวตน' เยี่ยงอิสระชน
“มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็น ‘Freedom’ การแสดงออก ซึ่งเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ใหม่ มันมีรากฐานมานานแล้ว และสายอาร์ตหลายคนก็ใช้มันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมือง อย่างการเพ้นท์ตามกำแพงให้คนมาถ่ายรูป หรือกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว”
ความขัดแย้งระหว่างพื้นที่สาธารณะและอาณาเขตของศิลปิน
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์นี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจาก 'วัฒนธรรมกราฟิตี้' ซึ่ง 'การบอมบ์' หรือ 'การพ่นทับผลงาน' ถือเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ที่กลุ่มคนเหล่านี้มักใช้ประกาศในพื้นที่สาธารณะอยู่แล้ว
“เวลาเราทำงานบนกำแพง คนอื่นสามารถเข้ามาพ่นทับได้ง่าย มันเป็นเรื่องปกติของงานสาธารณะ เพราะการควบคุมทุกพื้นที่นั้นเป็นไปไม่ได้ นักพ่นสีบางคนมองว่าพวกงานอีเวนต์สตรีทอาร์ตต่างๆ มันไม่เรียล เขาเลยประกาศศักดาโดยการโชว์การพ่นทับแบบสดๆ เข้าไป”
— เขากล่าว
ไม่เว้นแม้แต่ศิลปินที่ผู้เขียนสนทนาด้วย ก็เคยถูกพ่นทับงานมาหลายครั้ง กลายเป็นเรื่องปกติที่ 'ปลง' กับมัน ยิ่งหากทำงานบนพื้นที่สาธารณะที่เข้าถึงง่าย ต้องยอมรับว่ามีโอกาสโดนพ่นทับสูง หากต้องการหลีกเลี่ยง ก็ต้องทำงานบนที่สูงหรือเข้าถึงยาก - แต่ศิลปินสตรีทอาร์ตย่อมเข้าใจธรรมชาติของถนน ที่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด จะจ้างยามเฝ้าก็ดูไม่สมเหตุสมผล (เขาหัวเราะ)
"โดยส่วนตัวไม่ชอบที่งานถูกพ่นทับ แต่เลือกที่จะปล่อยวางและมองหาพื้นที่ใหม่ หรือสร้างสรรค์งานใหม่ด้วยแนวคิดที่ท้าทายมากขึ้น แทนที่จะประณามหรือโต้ตอบในเชิงลบ การพ่นทับงานศิลปะของศิลปินมีชื่อ อาจทำให้ผู้พ่นสีรู้สึกภาคภูมิใจ ที่งานของพวกเขาถูกกล่าวถึงในสื่อ หรือมีการรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาในวงกว้าง"
พร้อมชี้ให้เห็นว่า วิธีคิดของผู้พ่นนั้นแตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักมักเป็นการประกาศตัวตนหรือสื่อสารบางสิ่งในมุมของตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะถูกใจ
“เรื่องการพ่นสีของกราฟิตี้ จริงๆ มันคือการเปิดเผยอัตตาของบุคคล บางครั้งคนก็เข้าใจงาน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้ง สถานที่ เวลา สภาพแวดล้อม เจ้าของพื้นที่ ฯลฯ สมัยก่อนผมก็เคยเป็นกราฟิตี้มาก่อน ผมก็ไปพ่นสีตามที่รกร้าง บางทีก็ถูกตะเพิดไล่ บางทีเจ้าของกลับชอบและทำให้ต่อจนเสร็จด้วยซ้ำ"
สำหรับนักสร้างงานศิลป์บนท้องถนนและกำแพงรกร้าง ‘การพ่นทับงาน’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เกม’ ตามวัฒนธรรมกราฟฟิตี้ โดยเฉพาะการทับงานของ ‘ศิลปินที่มีชื่อเสียง’ อาจเป็น ‘การสร้างชื่อ’ หรือการประกาศตัวตนสำหรับผู้พ่นได้ดีอีกด้วย เมื่อถามถึงปรากฏการณ์ 'การบอมบ์ทับ' งานกราฟิตี้ของต่างชาติและผู้พ่นรุ่นใหม่ แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์ออกนามอธิบายว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับฝีมือหรือความสวยงาม คนที่พ่นแค่ต้องการประกาศว่า ‘ฉันอยู่ที่นี่’ การโดนทับก็เป็นเรื่องปกติ มันเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย
เขาเน้นว่า การแสดงออกแบบนี้มักมีลักษณะแบบ Anti-System หรือ 'แอนตี้สังคม' โดยใช้พื้นที่สาธารณะเป็นเวทีแสดงออกความไม่พอใจ หรือการท้าทายระบบปกติ ซึ่งความรู้สึกนี้มีอยู่ในทุกเมืองใหญ่ตั้งแต่ ปารีส ลอนดอน ไปจนถึงโตเกียว
ความสัมพันธ์ระหว่าง 'ศิลปิน - สังคม - และรัฐ'
คู่สนทนาได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง 'ศิลปิน' กับ 'รัฐ' ไว้ว่า การจัดการพื้นที่ศิลปะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะศิลปินมองความเป็นไปของถนนเป็นเรื่องธรรมชาติ
“เวลาเราทำเสร็จแล้วถ่ายรูป เราก็ปล่อยมัน เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของถนนที่จะโดนทับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มาพ่นต่อ มันก็เกิดขึ้นอยู่ดี แม้ตอนนี้ผมจะทำสตีทอาร์ต บางครั้งผมก็โดนพ่นทับเหมือนๆ กัน คือมันปลงแล้วจากความเข้าใจวัฒนธรรม แต่อีกนัยนึงกราฟิตี้ ก็อยากประกาศตัวตน ยิ่งเราไปตอบโต้ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาผยอง”
เขาย้ำว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในมิติของ 'ถูก' หรือ 'ผิด' แต่ขึ้นอยู่กับบริบทของพื้นที่นั้น ๆ ว่างานศิลปะนั้นถูกจัดการหรืออนุญาตอย่างไร แน่แหละมันไม่ถูกในเชิง 'กฎหมาย' หรือ 'บรรทัดฐานสังคม' ที่คนหมู่มากขีดไว้ แต่สำหรับ 'ผู้พ่น' ที่ยึดหลักของความเป็น 'หัวขบถ' มันคือ 'ความชอบธรรมทางความคิด’ ที่พวกเขายินดีที่จะเสี่ยงกระทำ แม้จะต้องทำอย่างหลบซ่อน หรือพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกกฎหมายบ้านเมืองเล่นงานอยู่บ้างก็ตาม “มันไม่ใช่เรื่องของกราฟิตี้ชั้นต่ำหรือศิลปะล่าง แต่เป็นเรื่องของอารมณ์และบริบท”
ปัญหาที่เกิดจากการมองศิลปะเชิงตลาด เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยก คือการที่กราฟิตี้ถูกมองเป็นตลาดล่าง โดยเฉพาะเมื่อผู้จัดงานหรืออีเวนต์เทศกาลเข้าเกี่ยวข้อง เขาชี้ว่า ความรู้สึกนี้เกิดจากการไม่เข้าใจ Culture ของกราฟิตี้อย่างแท้จริง
“กราฟิตี้บางกลุ่มเขาแอนตี้งานสตีทอาร์ต ที่ถูกจัดเป็นอีเวนต์หรือโปรเจกต์ใหญ่ เพราะมันดูไม่เรียล มันเป็นระบบ มันถูกจัดการ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ไม่ใช่การแสดงออกตามธรรมชาติ”
เขากล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่เริ่มพ่นในอดีต สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การโดนวิพากษ์ การถูกทับงาน หรือการโดนต่อต้าน ล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้ศิลปินเติบโต
ปลายทางของกราฟิตี้ในเมืองใหญ่
เมื่อถามถึงวิธีแก้ไขหรือโซลูชันสำหรับปัญหาการพ่นทับงานกราฟิตี้ แหล่งข่าวยืนยันว่าการจัดพื้นที่เฉพาะหรือการให้รัฐเข้ามาควบคุม อาจไม่ใช่คำตอบเดียว
“มันไม่ได้หมายความว่าต้องมีพื้นที่สำหรับทุกคน หรือให้ทุกคนได้แสดงออกอย่างชัดเจน เพราะสตรีทอาร์ตมีธรรมชาติของมัน การพ่นคือการประกาศตัวตน เป็นปัจเจก และบางครั้งก็เป็นการท้าทายระบบ”
เขาชี้ว่า สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจระหว่างผู้พ่น ศิลปิน และผู้ชม โดยไม่จำเป็นต้องตีความว่าถูกหรือผิด แต่เข้าใจบริบทของพื้นที่นั้นๆ
กรุงเทพฯ เมืองแห่งกราฟิตี้ : ความจริงที่ซับซ้อน
แหล่งข่าวกล่าวสรุปว่า กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองแห่งกราฟิตี้ไปแล้ว ไม่ใช่เพราะการจัดงานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะวิถีชีวิตของผู้คนบนถนน และปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน กลุ่มผู้พ่น และสังคม
“เมืองนี้เต็มไปด้วยเรื่องเล่า ศิลปะ และการประกาศตัวตน เราต้องมองมันด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ตัดสินว่าอะไรต่ำ อะไรสูง แต่ต้องเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดจากบริบท และธรรมชาติของถนน”
— นักสร้างสรรค์งานสตรีทอาร์ต กล่าวทิ้งท้ายกับผู้เขียน
ดังนั้นปรากฏการณ์กราฟิตี้และการพ่นทับงานศิลปะในกรุงเทพฯ จึงไม่ใช่เรื่องของศิลปะ 'ชั้นต่ำ' หรือ 'ความก้าวร้าว' เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสัญลักษณ์ของ 'ความอิสระ' ของ 'ศิลปิน'
ส่วนผู้อ่านจะมีวิจารณญาณเช่นไร ก็สุดแล้วแต่ความปรารถนาตามมุมมองของท่านแล้วกัน ...


