พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) นำสำนวนการสอบสวนคดี คลิปเสียงนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จำนวน 50 หน้า รวม 1 แฟ้ม ให้อัยการสูงสุดพิจารณา พร้อมมีความสมควรสั่งฟ้อง ฮุน เซน ต่อศาลอาญา โดยมี ศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับสำนวน
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า กรณีที่นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.สอท.1 เพื่อดำเนินคดีกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ "Samdech Hun Sen of Cambodia" ซึ่งมีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนา ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของ บก.สอท.1 ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้น พบว่า พฤติการณ์ในคดีดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดที่ได้กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
หลังการสอบสวนแล้วเสร็จทางคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน บก.สอท.1 จึงได้นำสำนวนการสอบสวนพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 กำหนดให้อัยการสูงสุดมีอำนาจมอบหมายให้พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวนรายใดดำเนินการสอบสวนแทนได้ ทั้งนี้เป็นดุลพินิจของท่านอัยการสูงสุดในการพิจารณาดำเนินการ
สำหรับผู้กระทำความผิดนั้นเป็นแอดมินเพจ จำนวนมากกว่า 1 คน ส่วนสมเด็จฮุนเซนเป็นผู้กระทำผิดร่วมด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวนการสอบสวน
ขณะที่ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า ในส่วนขั้นตอนของอัยการสูงสุด หลังจากรับสำนวนแล้วอัยการสูงสุดจะส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการสอบสวน เพื่อพิจารณาสำนวนคดีว่า ความผิดนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 เป็นความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่
หากเห็นว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร สำนักงานอัยการการสอบสวนจะส่งความเห็นให้อัยการสูงสุด ในฐานะเป็นพนักงานสอบสวนคดีนอกจากราชอาณาจักรตามกฎหมาย หรือให้อัยการสูงสุดมอบหมายให้ตั้งพนักงานสอบสวนคนใดคนหนึ่ง หรือพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวน
ซึ่งหลังการสอบสวนจัดส่งสำนวนกลับมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าคดีมีมูลพอฟ้องหรือไม่ หากคดีมีมูลพอฟ้องจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญา จากนั้นหากจำเลยไม่มาปรากฏตัวที่ศาลจะต้องมีการขอออกหมายจับจากอินเตอร์โพลตามขั้นตอนต่อไป