การปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนพื้นที่ริมน้ำปิงและคลองแม่ข่า จากเดิมที่กำหนดไว้เพื่อการนันทนาการและรักษาสิ่งแวดล้อม ไปสู่พื้นที่พาณิชยกรรม และที่อยู่อาศัยหนาแน่น โดยข้อกำหนดร่างใหม่เปิดทางให้อาคารริมแม่น้ำสร้างได้สูงถึง 23 เมตร จากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 12 เมตร ลดพื้นที่ว่างรอบอาคารจากอย่างน้อย 50% เหลือ 20% และลดพื้นที่น้ำซึมผ่านได้จาก 25% เหลือเพียง 4%
ภาคประชาชนในเชียงใหม่ มองว่า การสร้างผังเมืองนั้นควรจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ในการมีส่วนร่วมในการออกแบบเพื่อพัฒนาเมืองในอนาคต

ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ภาคประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ร่างผังเมืองใหม่เชียงใหม่ ถือว่าเป็นกระบวนการความคิดจากส่วนกลาง คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมน้อยมาก ซึ่งเราจะเห็นแบบที่ออกมานั้นเป็นมุมมองจากส่วนกลางที่อยากจะพัฒนาเมืองเชียงใหม่โดยไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดทิศทางของเมืองเชียงใหม่ ของคนเชียงใหม่เอง อันนี้ไม่มี มีเฉพาะการรับฟังทางออนไลน์เท่านั้น เท่าที่ดูแล้วจะเห็นได้ว่าผังเมืองจะออกโทนสีขยายพื้นที่พาณิชยกรรม เช่น ริมแม่น้ำปิง และถนนสันกำแพงสายเก่า ที่เป็นสีแดง ชัดเจนซึ่งถือว่าไม่ควร ที่จะสามารถสร้างตึกสูง 23 ชั้นได้
“จริงๆ แล้วพื้นที่ ริมแม่น้ำปิงนั้นควรจะเป็นสีเขียว ที่เป็นพื้นที่สันทนาการ ที่จะโอบอุ้มให้แม่น้ำปิงมีความสมบูรณ์มากกว่า ไปเป็นพื้นที่ พาณิชยกรรม เมื่อไหร่ก็ตามที่พื้นที่ริมแม่น้ำปิง กลายเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล จะทำให้เกิดการบุกรุก และประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าถึงที่สาธารณะริมแม่น้ำปิงได้”
“จริงๆ การร่างผังเมืองใหม่ ควรจะจะกลับมาทบทวนใหม่ให้คนเชียงใหม่มีส่วนร่วมในการตรวจสอบอย่างจริงจังมากขึ้น และคนในพื้นที่ควรที่จะได้กำหนดการใช้ชีวิตแบบไหน เช่นเราจะไปตลาด ไปสวนสาธารณะ ไปพื้นที่เศรษฐกิจ ไปขึ้นระบบขนส่งมวลชน ซึ่งจะต้องมีการออกแบบและทำให้เห็นว่าวิถีชีวิตจะต้องมีความสุขบนพื้นฐานการเดินทางที่เรียบง่าย เพราะหากเรามองว่าเราพัฒนาเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ผู้ที่ได้ประโยชน์แท้จริงก็คือกลุ่มนายทุนและนักธุรกิจ การลงทุนจากภายนอกเป็นหลัก”


ขณะที่ ผศ.ปรีดา พิชยาพันธ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า ร่างกำหนดผังเมืองใหม่ที่จะมีการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่พักอาศัยแนวสูง ก็จะส่งผลทำให้มีประชากรเพิ่มมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่จะตามมาก็คือ ปัญหาเรื่องของการจราจร

“ที่จังหวัดเชียงใหม่ยังไม่มีระบบขนส่งมวลชนระดับสูง และระบบขนส่งมวลชนระดับกลางที่มีประสิทธิภาพ อย่างเช่นในกรุงเทพฯ จะเห็นว่า ในเมืองที่มีขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ อย่างสถานีรถไฟฟ้า ในรอบรัศมี 500 เมตร ก็จะมีคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่รอบๆ ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนารอบสถานีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมืองจะแน่นขึ้น ประชาชนก็จะเดินทาง โดยตั้งถิ่นฐานรอบๆ สถานีรถไฟฟ้าแล้วก็ใช้รถไฟฟ้า หรือขนส่งมวลชน ในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“เพราะฉะนั้นโดยรวมถ้าหากเรายังไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ เมืองก็จะกระจายเราก็จะเสียงบประมาณ จากน้ำประปา ไฟฟ้า กระจายออกไป เมืองก็จะคลุม ความเจริญไม่ได้ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็จะสูงขึ้น”
ขณะเดียวกันในเมืองที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็วอย่างจังหวัดเชียงใหม่ เมืองขนาดกลาง ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพถือว่ามีความจำเป็น และระบบขนส่งสาธารณะอื่นก็จะเป็นส่วนประกอบด้วย ที่เป็นโครงข่ายเชื่อมโยงกันให้สามารถเดินทางได้ ครอบคลุมทั้งพื้นที่ในเมืองและนอกเมือง

สำหรับพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำปิง โดย ข้อมูลจาก สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ พบว่าในอดีตลำน้ำปิงมีความกว้างตลอดลำน้ำไม่ต่ำกว่า 90 เมตร เพื่อจะสามารถรองรับอัตราการไหลของน้ำได้ที่ประมาณ 800 ลบ.ม.ต่อวินาที
ที่ผ่านมาสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ได้ทำการสำรวจรังวัดพื้นที่ที่มีการบุกรุกที่ริมตลิ่งแม่น้ำปิงไปแล้ว ทั้งภาครัฐและ เอกชน ทำการเจรจาขอคืนพื้นที่เพื่อทำการขุดขยายส่วนความกว้างออกไปตามที่ได้มีการสำรวจไว้ พบว่ามีผู้ที่บุกรุกพื้นที่จำนวนกว่า 200 ราย หลายรายได้ให้ความร่วมมือในการคืนพื้นที่และพร้อมให้เข้าดำเนินการ บางรายที่เป็นพื้นที่เอกชน อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย



