แนวปะการังโลกวิกฤต นักวิทย์ฯ ชี้ข้ามจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว

14 ต.ค. 2568 - 04:51

  • แนวปะการังเขตร้อนทั่วโลกเผชิญการฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์ นักวิจัยเตือนหากอุณหภูมิโลกเกิน 1.5 องศา ระบบนิเวศอาจล่มสลายแบบถาวร

  • การสูญเสียแนวปะการังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตนับล้านสายพันธุ์ และประชาชนกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก

  • นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนระบบนิเวศอื่นๆ จะเข้าสู่จุดวิกฤตแบบเดียวกัน

แนวปะการังโลกวิกฤต นักวิทย์ฯ ชี้ข้ามจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว

รายงานวิจัยฉบับล่าสุดซึ่งรวบรวมข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์กว่า 160 คนทั่วโลก ระบุว่า โลกกำลังจะข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of no return) ซึ่งหมายถึงจุดเปลี่ยนแปลงในระบบธรรมชาติที่เมื่อข้ามไปแล้วจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบถาวรและไม่สามารถย้อนกลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของแนวปะการังเขตร้อน

รายงานชี้ว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา โลกได้เผชิญกับการฟอกขาวของปะการัง (Coral bleaching) ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยแนวปะการังมากกว่า 80% ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นแม้ภาวะโลกร้อนจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยเพียง 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสตามที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเป็นจุดเสี่ยงสูงสุดสำหรับระบบนิเวศทั่วโลก

“น่าเศร้าที่เราแน่ใจแล้วว่าโลกข้ามจุดเปลี่ยนผ่านสำหรับแนวปะการังน้ำอุ่นหรือเขตร้อนไปแล้ว”

ศาสตราจารย์ทิม เลนตัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศและระบบโลกจากมหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ ผู้นำรายงานระบุ

นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ประกาศว่าโลกข้ามจุดที่ไม่มีวันหวนกลับ (Point of no Return) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมักจะถาวรในโลกธรรมชาติ

แนวปะการังมีความอ่อนไหวต่อสภาวะที่เปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรเป็นอย่างมาก และภาวะโลกร้อนถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อระบบนิเวศที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้
แนวปะการังมีความอ่อนไหวต่อสภาวะที่เปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรเป็นอย่างมาก และภาวะโลกร้อนถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อระบบนิเวศที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้

3 ประเด็นสำคัญจากรายงาน

แนวปะการังข้ามจุดวิกฤติการอยู่รอด

รายงานระบุว่าแนวปะการังทั่วโลกไม่สามารถฟื้นตัวจากภาวะฟอกขาวได้ หากอุณหภูมิน้ำทะเลยังคงสูงเกินค่าปกติ การสูญเสียสาหร่ายจุลินทรีย์ที่เป็นแหล่งอาหารของปะการังนำไปสู่ภาวะอดอาหารและตายลงในที่สุด ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแนวปะการังได้ข้ามขีดจำกัดการปรับตัวไปแล้ว

ผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจ

การล่มสลายของแนวปะการังจะส่งผลโดยตรงต่อประชากรกว่า 500 ล้านคนที่พึ่งพิงแนวปะการัง ทั้งในด้านการประมง การท่องเที่ยว และความมั่นคงทางอาหาร นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตกว่าล้านสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศแนวปะการัง

แนวปะการังทั่วโลกกำลังฟอกขาว ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเกินค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิด “การฟอกขาวระดับโลก ครั้งที่ 4”
แนวปะการังทั่วโลกกำลังฟอกขาว ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเกินค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิด “การฟอกขาวระดับโลก ครั้งที่ 4”

จุดเปลี่ยนเชิงบวกยังเป็นไปได้ หากเร่งดำเนินการทันที

แม้แนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อมจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติ แต่รายงานยังให้ความหวังว่า การขยายตัวของพลังงานแสงอาทิตย์และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อาจเป็นจุดเปลี่ยนเชิงบวก (Positive tipping points) ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ หากได้รับการสนับสนุนจากนโยบายและการลงทุนที่เพียงพอ

ศาสตราจารย์ทิม เลนตัน ให้สัมภาษณ์ว่า “เราไม่สามารถพูดถึงจุดเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อมว่าเป็น ‘เรื่องในอนาคต’ ได้อีกต่อไป เพราะมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว”

สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโลกจำเป็นต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ก่อนที่ระบบนิเวศสำคัญอื่นๆ เช่น ป่าแอมะซอน หรือแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก จะเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับได้เช่นเดียวกันกับแนวปะการัง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์