หนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ในตอนนี้ยังต้องจับตามองก็คือ ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำที่เกิดจากการทำเมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าปัญหานี้จะถูกพูดถึงในวงกว้างแต่ในส่วนของการแก้ไขปัญหาเป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องมีการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเมียนมา อีกส่วนหนึ่งคือพื้นที่ที่มีการทำเหมืองแร่นั้นอยู่ในพื้นที่การดูแลของชนกลุ่มน้อย ทำให้การเข้าไปเจรจาพูดคุยมีความซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือหลายกลุ่ม


หากพูดถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านหลายประเทศก็เป็นอีกหนึ่งแม่น้ำที่ต้องเฝ้าระวังและจับตามองเพราะหากพบการปนเปื้อนของสารพิษหรือโลหะหนักเพิ่มมากขึ้นปัญหานี้จะขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ให้ข้อมูลว่า นอกจากปัญหาสารปนเปื้อนสารหนูในน้ำแม่กก แม่น้ำรวก แม่น้ำสายแล้ว แม่น้ำโขงก็น่าเป็นห่วงมาก เพราะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำเมืองแร่ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำโขง หรือแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงในประเทศเมียนมา และหลายแห่งก็มีลักษณะเหมือนกำลังดำเนินการอยู่
“ในส่วนของการป้องกันบำบัดน้ำก่อนที่จะปล่อยลงแม่น้ำ ก็น่าห่วงว่าจะมีการบำบัดจริงหรือไม่ และภาพถ่ายดาวเทียมตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ทำให้เห็นว่าตอนนั้นมีเหมืองแรร์เอิร์ธในพื้นที่เพียง 3 แห่ง โดย 2 แห่งได้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว และอีก 1 แห่งได้ถูกทิ้งร้างในเวลาต่อมา แต่ต่อมาปี 2568 พบภาพว่ามีแหล่งแร่ 19 แห่ง แสดงให้เห็นว่ามีการขยายตัวของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา”
มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดข้อมูลว่า จากภาพถ่ายดาวเทียมและวีดีโอคลิปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ทำให้เห็นเหมืองแรร์เอิร์ธ 19 แห่ง ทางตะวันออกของรัฐฉานใกล้กับแม่น้ำโขง ในเขตเมืองยอง ภาคตะวันออกของรัฐฉาน ห่างจากแม่น้ำโขงเพียง 40 กิโลเมตร ในพื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลัง NDAA หรือ กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (National Democratic AllianceArmy

สำหรับเหมืองแร่แรร์เอิร์ธทั้ง 19 แห่งในปัจจุบัน ต่างมีบ่อสกัดแร่ที่เรียงรายเป็นรูปวงกลมหลายแถว ลักษณะเดียวกับการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น แสดงให้เห็นว่ามีการใช้วิธีทำเหมืองแบบละลายแร่ (in-situ leaching) เพื่อขุดแร่หายากเหล่านี้ มีการทำเหมืองแบบละลายแร่และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระสอบบรรจุสารเคมีเพื่อละลายแร่หลายพันกระสอบ และเชิงเขาที่มีการวางท่อสำหรับฉีดสารเคมีเข้าไปใช้ในการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ
“ปัจจุบันเหมืองแรร์เอิร์ธ 16 แห่งยังอยู่ระหว่างดำเนินงานและเห็นได้ชัดเจนว่ายังมีการใช้บ่อสกัดแร่เหล่านี้ ส่วนอีก 3 เหมืองยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มสร้างและจนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ามีลักษณะเป็นบ่อสกัดแร่ที่เรียงรายเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายวงในการก่อสร้างเหมืองแรร์เอิร์ธ”

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ยังระบุด้วยว่า เหมืองแรร์เอิร์ธส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่มีความสูงระดับ 4,000-5,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ห่างจากพรมแดนประเทศจีน 4 กิโลเมตร มีการปล่อยน้ำจากเหมืองแร่ลงสู่คลองน้ำ ซึ่งไหลลงไปทางใต้และลงสู่แม่น้ำโหลย (Lwe River) ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง (Mekong River)

อีกทั้งยังพบว่ามีเหมืองแรร์เอิร์ธอีก 4 แห่ง ที่ตั้งอยู่บนภูเขาทางตอนใต้ของแม่น้ำโหลย มีการปล่อยน้ำจากเหมืองแรร์เอิร์ธลงสู่แม่น้ำโหลยด้วยเช่นกัน สำหรับแม่น้ำโหลยนั้น ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่เมืองสบโหลย ฝั่งตรงข้ามกับแขวงหลวงน้ำทาของประเทศลาว โดยอยู่ห่างทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 125 กิโลเมตร จากจุดบรรจบแม่น้ำที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างประเทศลาว พม่า และไทย

ขณะที่ ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มองว่า แม่น้ำโขงน่าเป็นห่วง เพราะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่รวมหลากหลายแม่น้ำเข้าไว้ด้วยกัน
“ซึ่งจากข้อมูลก็ทราบกันว่าในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงก็มีการเปิดหน้าดินทำเมืองแร่ ซึ่งก็มีข้อกังวลว่าเมืองแร่เหล่านี้จะมีการบริหารจัดการน้ำที่ปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่สารหนูยังมีสารอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต หากในอนาคตแม่น้ำโขงมีการปนเปื้อนสารพิษเหล่านี้มากขึ้นจะเป็นปัญหาใหญ่ระดับนานาชาติเพราะชาวบ้านที่ใช้ประโยชน์จากน้ำดิบก็ยังมีมาก”
ผศ.ดร.ว่าน กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยเราถือว่ารับศึกหนัก เพราะแม่น้ำหลายสายที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านก็พบว่ามีการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตราย ถึงแม้ในตอนนี้สารหนูอาจจะเกินคาดมาตรฐานไม่มาก และสารพิษอื่นๆ ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออาจจะได้รับเข้าสู่ร่างกายและสะสมเป็นเวลานาน
“ปัญหานี้รัฐบาลไม่ว่าชุดไหนก็ต้องเร่งจัดการ ต้องดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เกิดจากปัญหาดังกล่าวให้ได้ ซึ่งตอนนี้ประเทศอื่นๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากนัก หากเทียบกับประเทศไทย ในส่วนของผู้ที่รับซื้อแร่เหล่านี้หรือผู้ที่ลงทุนอาจจะไม่ใช่ประเทศจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งขณะนี้ทางนักวิชาการและกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหานี้ก็กำลังมีการติดตามและเก็บข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง”

ด้าน ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมดังกล่าวก็ยังคงไม่มีทางออกที่ชัดเจน จึงอยากจะส่งเสียงถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งรัฐบาลสามารถทำได้เลย 10 ข้อ ภายในระยะเวลา 4 เดือนในการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา
“โดยเป้าหมายของประชาชนยังคงยืนยันว่าการปิดเหมืองแร่ในเมียนมา คือการแก้ไขปัญหาต้นเหตุมลพิษในแม่น้ำ และการฟื้นฟูลุ่มน้ำกกสายรวกโขง”
1.จัดหาแหล่งน้ำใหม่สำหรับการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านให้กับชาวบ้านในเขตตำบลแม่นาวางและตำบลท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถใช้น้ำกกในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้อีกต่อไปแล้วตั้งแต่เกิดปัญหามลพิษข้ามพรมแดน
2.ตรวจสอบคุณภาพดินเพื่อตรวจสอบว่ามีสารโลหะหนักในดินหรือไม่เนื้อที่ 12,000 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในสองฝั่งแม่น้ำกกในเขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ดินตะกอนแม่น้ำกกซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นแหล่งผลิต พืชผลทางการเกษตรสำคัญของประชาชน
3.จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกก สาย รวก โขง เพื่อการผลิตน้ำประปาสำหรับผู้บริโภคน้ำประปาอย่างน้อย 55,000 รายในเขต อ.เมือง เวียงชัย แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ที่ใช้น้ำจากการประปาส่วนภูมิภาค เนื่องจากผลการตรวจน้ำประปาจากห้องแลปพบว่ามีสารหนูและแบเรียมในน้ำประปา ถึงแม้จะยังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ส่งผลให้ประชาชนต้องแบบรับความเสี่ยงในการมีสารโลหะหนักสะสมในร่างกาย อีกทั้งการประปาส่วนภูมิภาคในฐานะผู้รับผิดชอบผลิตน้ำประปากำลังแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และใช้สารเคมีจำนวนมากขึ้นในกระบวนการผลิตน้ำประปา
4.ตรวจสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปี 100,000 ไร่ก่อนการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงตลอดเดือนพฤศจิกายน การตรวจข้าวก่อนเก็บเกี่ยวเป็นประโยชน์ต่อทั้งอุตสาหกรรมข้าวและผู้บริโภคในคราวเดียวกัน รัฐต้องห้ามไม่ให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิต พร้อมทั้งชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้ลงทุนและรายได้ที่จะเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันหากผลการตรวจไม่พบสารโลหะหนัก รัฐต้องออกเอกสารรับรองผลผลิตข้าวให้กับเกษตรกร เพื่อให้พวกเขาขายผลผลิตได้และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคไปในคราวเดียวกันด้วย
5.จัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังตรวจสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอนดิน ดินเพาะปลูก ผลผลิตการเกษตร ปลา สัตว์น้ำ และคน ในลุ่มน้ำกกสายรวกโขง
6.ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้านจำนวน 30 แห่ง ในเขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ เพื่อให้ระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้านมีขีดความสามารถกำจัดสารโลหะหนักในกระบวนกรผลิตน้ำประปาที่ใช้น้ำใต้ดินใกล้กับแหล่งน้ำกกสายรวกโขงที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก
7.ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากประเทศเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะพิสูจน์ได้ว่าแร่ที่นำเข้าจากประเทศเมียนมาไม่ได้มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำกกสายรวกโขง
8.ยกเลิกโครงการสร้างฝายดักตะกอน เนื่องจากโครงการนี้มิได้มีการศึกษาว่าสามารถแก้ไขปัญหาสรโลหะหนักได้อย่างแท้จริง สร้างปัญหาผลกระทบต่อที่ดินทำกินของชาวบ้าน ผลกระทบด้านนิเวศน์วิทยาและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำไม่มีได้มีอำนาจหน้าที่แก้ไขปัญหามลพิษ ขาดประสบการณ์ในการดำเนินงาน
9.จัดตั้งคณะทำงานรวมระหว่างรัฐ วิชาการและภาคประชาชน เพื่อทำหน้าที่ 4 ข้อ ได้แก่ข้อที่ 1 หาแนวทางปิดเหมืองในประเทศเมียนมา ข้อที่ 2 สร้างมาตรการเฝ้าระวังสรโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำอุปโภค บริโภค ดิน สินค้าเกษตร สัตว์น้ำ และร่างกายมนุย์ ข้อที่ 3 เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเหมืองแร่ในเมียนมา ข้อที่ 4 กำหนดแนวทางการฟื้นฟูแม่น้ำกกสายรวกโขง
10.เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศตระหนักว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการทำเหมืองแร่จนก่อให้เกิดมลพิษที่ส่งกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย





