จากกรณีตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 เข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ลักลอบเข้ามาเช่าอยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสถิติการจับกุมช่วงหลังพบชาวจีนที่เข้ามาก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นั้น ส่วนใหญ่ถือวีซ่านักศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้กลุ่มเหล่านี้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้โดยง่าย

พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาครผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า จากการจับกุมคนจีนที่มากระทำความผิดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นวีซ่านักศึกษา โดยเกือบทุกรายที่จับกุมได้นั้นไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเรียนที่ไหน แต่มีหัวหน้างานนั้นเอาเงินไปจ่าย ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หัวละประมาณ 30,000 บาท เพื่อออกวีซ่านักศึกษา เพื่ออยู่ในประเทศไทยได้นานขึ้นและมาใช้เป็นช่องทางในการกระทำความผิด
“โดยตรวจสอบแล้วพบมหาวิทยาลัยที่อยู่ ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่รับนักศึกษาจีน มี 5-6 แห่ง มียอดคนจีนที่ถือวีซ่านักศึกษาอยู่ประมาณ 13,000 คน ในจำนวนนี้เชื่อได้ว่าเกินครึ่ง ใช้วีซ่านักศึกษาเพื่อยืดระยะเวลาในการอยู่ต่อ เพื่อกระทำผิดกฎหมาย เพราะการไปเรียนจริงถือว่ามีจำนวนน้อยมาก”
“ล่าสุดทางตำรวจภูธรภาค 5 ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสถานศึกษา เพื่อยกเลิกวีซ่านักศึกษา สำหรับกลุ่มคนที่มาสมัครเรียนแต่ไม่เข้ามาเรียน เพื่อป้องกันการนำวีซ่านักศึกษาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์”

พระครูใบฎีกา ทิพย์พนากรณ์ ชยาภินันโท ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ มีนักศึกษากว่า 1,400 คน ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาจีน กว่า 500 คน ส่วนใหญ่เรียนหลักสูตรระยะสั้น 1 ปี หรือ เวลาเรียน 180 ชั่วโมง มีการเรียนการสอนทั้งระบบออนไซด์และออนไลน์

“โดยทางมหาวิทยาลัย ได้ทำการตรวจสอบผู้เข้าเรียนทุกครั้ง หากพบไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์หรือเข้าเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด ก็จะดำเนินการยกเลิกสถานภาพและส่งเรื่องไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อยกเลิกวีซ่าทันที”
“มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ นั้น รับนักศึกษาต่างประเทศอยู่แล้วโดยไม่เลือกว่าเป็นชนชาติใด ก็สามารถเข้ามาเรียนได้ แต่สิ่งที่เป็นกังวล คือ กลุ่มที่เข้ามาเรียนเราไม่สามารถรู้วัตถุประสงค์ได้ว่าเข้ามาเรียนเพื่ออะไร ที่สำคัญคือว่าเมื่อเช็คดูแล้วว่าเขามีคุณสมบัติ ก็สามารถเข้าเรียนได้ตามที่ระเบียบกำหนดไว้ ส่วนกรณีที่จะแฝงตัวเข้ามาอันนี้ คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง ถ้ามองว่าตรงนี้จะเป็นโอกาสที่เปิดช่องให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามา เราไม่สามารถ ที่จะคัดกรองได้ แต่ หลังจากนี้เราจะต้องมีระบบคัดกรองที่ดี” พระครูใบฎีกา กล่าว

ด้าน ชุติมา ชวสินธุ์รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ก็เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเอกชน ที่ได้รับความสนในจากกลุ่มคนจีนเข้ามาเรียนจำนวนมาก โดยตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน มีนักศึกษาจีนเข้าเรียนกว่า 5000 คน ส่วนใหญ่จะเรียนหลักสูตรระยะสั้น 1 ปี โดยเน้นด้านภาษาและวัฒนธรรม โดยมีการจัดการเรียนการสอนทั้งระบบออนไลน์และออนไซด์ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตถกรรม
“โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมามีมาตรการตรวจสอบนักศึกษา ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในการพิจารณาคุณสมบัติตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การรับสมัคร ระหว่างเรียน และจนจบการศึกษา”
“ถ้าเราติดต่อนักศึกษาไม่ได้ เราก็จะต้องตั้งข้อสงสัยแล้วว่า ตัวเค้าเองอาจจะไม่ยอมเข้าเรียนหรือไม่มาเรียน มาเป็นนักศึกษาของเรา ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะมีการคัดชื่อนักศึกษาออก โดยทางมหาวิทยาลัย ได้มีการดำเนินการทุกๆ สิ้นเดือนอยู่แล้ว”
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ กล่าวต่อว่า “ในทุกสิ้นเดือน แต่ละหลักสูตรที่มีการดูแลนักศึกษา จะมีการตรวจสอบว่านักศึกษามีการเรียนการสอนจริงหรือไม่ ก็จะมีการรายงานเข้ามา ซึ่งก็จะมีการทำให้พ้นสภาพนักศึกษา แต่ก่อนที่จะทำให้พ้นสภาพนักศึกษาก็ต้องมีการแจ้งกับนักศึกษา หากมีการเข้ามาติดต่อ ก็จะต้องพิจารณา ชี้แจงเหตุผลกรณีที่ขาดหายไป แต่ถ้ายืนยันที่จะไม่เข้ามาติดต่อและหาตัวนักศึกษาไม่เจอทางมหาวิทยาลัยก็จะต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อยกเลิกวีซ่านักศึกษาทันที”


จากการตรวจสอบการขอวีซ่านักศึกษา มี 2 ประเภท ประกอบด้วย วีซ่านักศึกษาเพื่อศึกษาระดับปริญญา และวีซ่านักเรียนภาษา
โดยวีซ่านักศึกษาเพื่อศึกษาระดับปริญญา ต้องมีใบรับรองจบการศึกษาที่ออกโดยสถาบันการศึกษาถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องยื่นขอก่อนเดินทางมาเรียน
ส่วนวีซ่านักเรียนภาษาไม่ต้องใช้ใบรับรองจบการศึกษา สามารถสมัครเรียนและชำระค่าเรียน แล้วไปขอหนังสือรับรองประวัติอาชญากรรม นำส่งให้โรงเรียน จากนั้นโรงเรียนจะรวบรวมเอกสารส่งให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ หากแล้วเสร็จก็ไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าท่องเที่ยว เป็นวีซ่านักเรียน ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนจีนบางคน ที่ต้องการใช้บังหน้า เพื่อให้มีเวลาอยู่อาศัย และทำมาหากินในประเทศไทยได้นานขึ้น