ขณะที่ภาคใต้กำลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ หลายคนเกิดความกังวลถึงเรื่องของ “อาหาร” เนื่องจากพี่น้องชาวใต้นับถือศาสนาอิสลาม ปรากฏคลิปที่อาสาสมัครนำอาหารไปช่วยเหลือ แต่ผู้ประสบภัยขออนุญาตไม่รับไว้ พร้อมแสดงความขอบคุณ ขณะที่หลายคนเป็นห่วง บ้างก็เข้าใจว่าเป็นความเคร่งครัดของหลักศาสนา

เพื่อไขข้อข้องใจนี้ นักเขียนในฐานะที่เป็นมุสลิมะฮ์ มีโอกาสอ่านทัศนะของท่านอาจารย์มุรีด ทิมะเสน ที่อธิบายอย่างชัดเจน และเข้าใจง่าย จึงขออนุญาตนำมาเสนอต่อผู้อ่าน
อาจารย์มุรีด ได้อธิบายไว้ใน “พุทธถาม-อิสลามตอบ” ทำไมมุสลิมไม่ขอรับอาหารกรณี #น้ำท่วมภาคใต้ ?
จากคำถาม มุสลิมถูกน้ำท่วม ชาวพุทธนำข้าวกล่องไปให้ มุสลิมปฏิเสธที่จะรับ แล้วบอกว่า “ขออาหารหะลาล” ถามหน่อยว่า มุสลิมอยู่ในภาวะคับขันเช่นนี้ กินอาหารไม่หะลาลประทังชีวิตไปก่อนไม่ได้เชียวหรือ?
คำที่ต้องทำความเข้าใจ
- หะลาล = อนุญาต
- หะรอม = ต้องห้าม
คำตอบ ในประเด็นข้างต้นขออธิบายดังนี้
ประการแรก ในหลักศรัทธาของมุสลิมนั้น จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่หะลาลเท่านั้น คำว่า “อาหารหะลาล” หมายถึง อาหารที่ถูกปรุงด้วยส่วนผสมที่ไม่มีสิ่งใดขัดกับหลักการศาสนาอิสลาม เช่น มีส่วนผสมของเนื้อหมู หรือไม่มีส่วนผสมของเนื้อไก่ที่ไม่ถูกเชือดตามหลักการอิสลาม เป็นต้น
ทีนี้...หากมุสลิมคนใดฝ่าฝืนไปกินของที่ “ไม่หะลาล” จะเป็นเยี่ยงใด?
ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) วัจนะไว้ว่า
“แท้จริงเนื้อ (ตามร่างกาย) ที่เจริญเติบโตมาจากสิ่งต้องห้าม (หะรอม) จะไม่ได้เข้าสวรรค์”
ด้วยบัญญัติอิสลามดังกล่าว จึงทำให้มุสลิมทุกคนจึงจำเป็นจะต้องมีความเคร่งครัดในเรื่องการบริโภคอาหารเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ช่าง มุสลิมจะต้องไม่บริโภคอาหารที่ต้องห้าม (หะรอม) หรืออาหารที่ไม่หะลาลโดยเด็ดขาด

ภาวะจำเป็น-ภาวะคับขัน "มุสลิมกินหมู" ได้หรือไม่?
ประเด็นถัดมา ในกรณีที่เกิดภาวะจำเป็น-ภาวะคับขัน หรืออยู่ในภาวะที่ต้องถึงแก่ชีวิตแล้วไซร้ เช่นนี้ ศาสนาถือว่า “การรักษาชีวิตของตนเอง” เป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด แม้ว่าการรักษาชีวิตนั้นจำเป็นจะต้องบริโภคสิ่งหะรอม (ไม่หะลาล) ก็ตาม
ศาสนาพึงอนุญาตให้กระทำได้ ดั่งกฏเกณฑ์นิติศาสตร์อิสลามได้ระบุไว้ว่า
“เมื่อเข้าสู่ภาวะคับขัน สิ่งต้องห้ามถูกอนุมัติ (ให้กระทำได้)”
ด้วยเหตุนี้ กรณีมุสลิมถูกน้ำท่วม หรือถูกภัยพิบัติต่างๆ กระทั่งไม่สามารถแสวงหาอาหารหะลาลมาประทังชีวิตได้ ณ ขณะนั้น กระทั่งว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว เช่นนี้ ศาสนาอนุญาตให้รับประทานอาหารที่ไม่หะลาลเพื่อประทังชีวิตไปก่อนได้ จนกว่าจะมีอาหารหะลาลมาให้รับประทาน ทั้งนี้ การรักษาชีวิตรอดนั้นเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดนั่นเอง

อนึ่ง ส่วนพี่น้องต่างศาสนิกเกิดไปพบเจอพี่น้องมุสลิม “ไม่ยอมรับอาหาร” ที่ไม่หะลาลมารับประทานนั้น ทั้งนี้ มุสลิมผู้นั้นอาจจะคิดว่า “ยังคงรักษาตัวเองได้อยู่” “ยังบริโภคอย่างอื่นที่พอมีเพื่อประทังชีวิตไปก่อนได้” จึงไม่ขอบริโภคอาหารไม่หะลาล ประเด็นนี้ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล เราคงสงวนไม่ตำหนิกันในเรื่องดังกล่าว
กล่าวโดยสรุปคือ เมื่อมุสลิมต้องเผชิญกับวิกฤต เช่น น้ำท่วม หรือภัยพิบัติอื่นๆ ที่ทำให้ไม่สามารถหาอาหารหะลาลได้ และชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง การบริโภคเนื้อหมูหรืออาหารที่หะรอมอื่นๆ อาจเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ “ชั่วคราว” แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
- จำเป็นต้องรักษาชีวิต การบริโภคเนื้อหมูหรืออาหารหะรอมต้องเกิดขึ้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นในการรักษาชีวิต มุสลิมที่เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่มีอาหารอื่นสามารถรับประทานได้ เพื่อให้ร่างกายยังคงดำเนินต่อไป
- ควรหยุดเมื่อมีทางเลือกอื่น เมื่อสถานการณ์วิกฤตผ่านไปแล้ว หรือเมื่อมีอาหารหะลาลอื่นให้เลือกใช้ การบริโภคอาหารที่หะรอมควรหยุดลงทันที เพื่อปฏิบัติตามหลักการเดิมของศาสนาอิสลาม



