วิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในฐานะโฆษก ปปง. และพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมกันเปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือครั้งที่ 1/2568 ในประเด็นที่ ปปง. ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติกว่า 10,165 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 4 รายคดีสำคัญ คือ เฉิน จื้อ, ก๊ก อาน, แตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก และ เอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน กับพวก ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงานของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเอื้อประโยชน์อย่างไร หรือไม่ รวมถึงประกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เรื่อง บุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง พ.ศ. 2568
และกรณีที่ไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ประสานขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงาน ปปง. ดำเนินการตรวจสอบบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีฯ ในยุคสมัยของประเสริฐ จันทรรวงทอง และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore หลังจากพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก แต่ใน MOU ได้ระบุว่า “จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC)”

โดยพัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า “ตามที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงาน ปปง. ได้มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติกว่าหมื่นล้านบาท ที่อาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงานของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง มาเอื้อประโยชน์ หรือมาร่วมหรือไม่ และเรายังขอชื่นชมประกาศของ ปปง. ที่มีการกำหนดรายละเอียดบุคคลที่มีสถานภาพทางการเมือง เพราะจะเป็นไปตามที่กฎหมาย ป.ป.ช. ได้กำหนดไว้อยู่แล้ว ทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อจะได้ประสานข้อมูลร่วมกันในอนาคต และบังคับใช้กฎหมายร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังได้ประสานข้อมูลสำคัญกับ ปปง. เพื่อป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อรับแจ้งข้อมูลเบาะแสจากสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนสกัดเหตุได้ทันท่วงที
สำหรับข้อมูลการยึดและอายัดทรัพย์สินหมื่นล้านบาทของ ปปง. ในคดีสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ผ่านมา จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เบื้องต้น ป.ป.ช. ได้รับแจ้งว่า “ปปง. อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ แต่ตอนนี้ตอบได้ว่ายังไม่มีปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ระหว่างการขยายผลนี้ ปปง. ก็จะดูว่ามีการโอนเงินมาจากแหล่งเงินใดบ้าง แล้วจะนำไปสู่การดูเพิ่มเติมว่าเงินนั้นมีเจ้าหน้าที่รัฐมาเกี่ยวโยงหรือไม่ หรือมีบริษัท หน่วยงานรัฐใดไปทำธุรกรรมร่วมกับตรงนั้นบ้าง อาทิ เรื่องภาษี เป็นต้น”
โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช. และ ปปง. จะใช้กฎหมายของทั้งสองหน่วยงานควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งในเชิงรุกและเชิงลึก พร้อมเปิดรับข้อมูลจากสื่อและประชาชน เพื่อเร่งสกัดปัญหาทุจริตให้ทันท่วงที
พัฒนพงศ์ ยังชี้แจงบทบาทของ ป.ป.ช.ว่า “จะตรวจสอบเส้นทางการเงินและเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นระดับปฏิบัติการหรือระดับผู้บริหารนโยบาย หากพบว่ามีการใช้อำนาจมิชอบ หรือเอื้อประโยชน์ จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่รัฐมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ป.ป.ช. สามารถไต่สวนเรื่องร่ำรวยผิดปกติได้ รวมถึงการตรวจสอบภาพถ่ายกับบุคคลตามข่าว ซึ่งภาพถ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น จะต้องดูพฤติการณ์ว่ามีการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ โดยไม่ต้องรอเจ้าทุกข์แจ้งเรื่องร้องเรียน ทาง ป.ป.ช. ทำหน้าที่แทนรัฐ สามารถเริ่มไต่สวนได้ทันทีหากมีเหตุอันควรสงสัย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ”
ส่วนกรอบเวลาไทม์ไลน์ตรวจสอบย้อนหลังไปกี่ปีนั้น ด้วยความที่ ปปง. อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบจึงขอรอข้อมูลตรงนี้ก่อน แต่ยกตัวอย่างเช่น “บุคคลที่ไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหน่วยงานกระทรวงใดที่ปรากฏเป็นข่าว เราก็ต้องไปดูรายละเอียดว่ามีอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐไปเอื้อประโยชน์หรือไม่ เพราะบางครั้งอาจใช้อำนาจปกติ ไม่ได้มีเจตนาอื่น หรือเข้าไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ แต่ถ้าหากเอื้อประโยชน์จริงก็จะเข้าข่ายความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามอำนาจกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งมีกรอบอายุความที่ 15-20 ปี ระยะเวลาเรามีพอสมควร แต่เราจะไม่รอให้ถึงวันนั้น เราจึงต้องทำงานเชิงรุก ให้ ปปง. เดินหน้าตรวจสอบธุรกรรม แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์จริง ป.ป.ช. จะเข้าไปจัดการในส่วนนี้”
สำหรับเรื่องภาพถ่ายที่ปรากฏว่ามีข้าราชการระดับสูงของไทยหลายคนไปเกี่ยวข้องกับเบน สมิธ อีกทั้งชื่อของเบนฯ ก็ยังไปอยู่โครงการอื่น ๆ ในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ดังนั้น หากกระทรวง หน่วยงานใดของไทยเคยมีการทำกิจกรรมโครงการร่วมกับเบน หรือบริษัทของเบน ปปง. และ ป.ป.ช. จะตรวจสอบตรงนี้เลยหรือไม่นั้น พัฒนพงศ์ ยืนยันว่า “เราจะเริ่มจากตรงนี้เช่นกัน และจะเริ่มจากข้อมูลของสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอรายงานกันด้วย”
โดยจะนำไปประมวลข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทใดบ้าง และบริษัทต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการรัฐนั้น ๆ ได้อย่างไร มาอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนไปเอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือ สนับสนุนหรือไม่ เพราะว่าคดีอาญาในส่วนของ ป.ป.ช. เราต้องทำตามพยานหลักฐาน เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจกฎหมายฐานทุจริตต่อหน้าที่
— พัฒนพงศ์ จันทร์เพ็ชรพูล
เมื่อถามว่าบางภาพถ่ายก็ปรากฏถึงขนาดมีอดีตนายกรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงไปร่วมถ่ายภาพกับเบน สมิธ จะต้องเชิญให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ พัฒนพงศ์ ระบุว่า “ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ เรามีอำนาจตรวจสอบระดับผู้บริหารสูงสุด ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมืองและระดับปฏิบัติการ เราเป็นหน่วยงานมืออาชีพอยู่แล้ว ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้อง ป.ป.ช. ก็ต้องถือธงนำดำเนินการ”

ด้าน วิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. และฐานะโฆษก ปปง. เผยว่า “กรณีว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาเกี่ยวข้องกับเงินหมื่นกว่าล้านบาทที่ ปปง. ยึดและอายัดมาจากคดีสแกรมเมอร์ข้ามชาติหรือไม่นั้น ยืนยันว่า เราต้องดูทุกกระบวนการ แต่ในเบื้องต้น ปปง. เน้นไปที่การยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อได้ว่ามาจากการกระทำความผิดก่อน ๆ หลังจากนั้น จึงจะดูที่กระบวนการโอนเงิน การรับโอน เส้นทางการเงินว่ามันมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนไหน อย่างไร”
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องบันทึกข้อตกลง MOU ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้มีการจัดทำร่วมกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของสิงคโปร์นั้น “ประเด็นนี้ ป.ป.ช. ก็มีข้อสังเกตว่ามันจะเป็นเรื่องเดียวกันด้วยหรือไม่ จึงทำให้ ปปง. และ ป.ป.ช. ต้องประสานข้อมูลกันต่อไปสักระยะ เพื่อติดตามดำเนินการ แต่เราก็ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดแน่นอน ซึ่งถ้าเรื่องใดมันพอขยายผลไปต่อได้ อย่างน้อย ป.ป.ช. ก็จะได้ทำในส่วนของมูลฐานคดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ได้ ส่วน ปปง. ก็ค่อยมาต่อยอดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิด หรือแม้ท้ายสุดไม่เจอคดีมูลฐาน แต่เรากลับเจอธุรกรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากที่ไม่สามารถให้คำตอบได้ ไม้ตายของ ป.ป.ช. ก็คือการดำเนินการเกี่ยวกับร่ำรวยผิดปกติ”
โดยกระบวนการมันต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่มันก็ต้องดูว่าเขาทำถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าไปรู้เห็นเป็นใจให้คนเหล่านี้ เราก็ต้องพิสูจน์ทราบต่อไป
— วิทยา นีติธรรม

วิทยา ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการยึดและอายัดทรัพย์สินจำนวนหมื่นกว่าล้านบาทในคดีสแกมเมอร์ และการขยายผลสู่เจ้าหน้าที่รัฐว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ว่า “ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนยึดและอายัดทรัพย์สินชั่วคราว โดยเจ้าของทรัพย์สินมีเวลา 30 วันในการเข้ามาชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ว่าไม่ได้มาจากการกระทำความผิด โดยให้นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือจาก ปปง. และหากชี้แจงที่มาของทรัพย์ไม่ได้ ทาง ปปง. จะส่งเรื่องให้อัยการเพื่อเสนอศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินมาเฉลี่ยชดใช้คืนให้ผู้เสียหาย”
ส่วนการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ วิทยา บอกว่า “เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงชัดเจน แต่กำลังขยายผลดูเส้นทางการเงินว่ามีส่วนไหนที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปรู้เห็นเป็นใจ หรืออำนวยความสะดวกในการโอนย้ายถ่ายเทหรือไม่”
ส่วนกรณีภาพถ่ายคนดังกับผู้ถูกกล่าวหา วิทยา ยอมรับว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการตรวจสอบความสัมพันธ์ แต่ลำพังแค่ภาพถ่ายยังบอกไม่ได้ว่าผิด ต้องพิสูจน์ทราบถึง “ความสัมพันธ์เชิงลึก” และธุรกรรมทางการเงิน พร้อมยืนยันว่าหน่วยงานรัฐสงสัยเช่นเดียวกับประชาชน และขอเวลาตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่าอาจมีการโยกย้ายทรัพย์สินไปก่อน ปปง. จะมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์ได้นั้น วิทยา ยอมรับว่า “อาจมีข่าวรั่วนานแล้ว ก็อาจมีการโยกย้ายทรัพย์ไปบ้าง แต่ ปปง. ใช้มาตรการ ‘มีเหตุอันควรเชื่อ’ เข้ายึดและอายัดทรัพย์ไว้ก่อน ซึ่งยอด 1 หมื่นล้านบาทถือว่าจำนวนมากและเป็นรูปธรรมแล้ว”
ส่วนประเด็นข้อกังวลที่การตรวจสอบเรื่องนี้มีความกังวลว่าจะไม่ถึงตัวการใหญ่นั้น วิทยา บอกว่า “ขอให้รอดูเพราะทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ส่วนใครจะปรามาสอย่างไรขอให้รอดูบทสรุป ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”
ส่วนกรณีที่ เบน สมิธ ถ่ายภาพร่วมกับบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงระดับประเทศ จะมีการเรียกมาตรวจสอบหรือไม่ วิทยา กล่าวว่า “จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตรวจสอบถึงความสัมพันธ์ โดย ปปง. ระบุว่าภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถชี้ชัดความผิด จะต้องมีปัจจัยอื่น ๆ ถึงจะมีความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งจะต้องตรวจสอบเชิงลึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินมากน้อยเพียงใด ส่วนสุดท้ายจะเป็น ‘มวยล้มต้มคนดู’ หรือไม่ หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้าที่จะมีการยึดและคืนในที่สุด ขอให้รอดูผลการปฏิบัติของเรา”
ส่วนกรณีที่กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำ MOU ร่วมกับบริษัทเอกชนในสิงคโปร์นั้น วิทยา บอกว่า “เรื่องนี้จะต้องมีการติดตามสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจนก่อนว่าเป็นโครงการดำเนินการอย่างไรบ้าง เพราะในกระบวนการโดยปกติจะต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่จะต้องดูในขั้นตอนการดำเนินการว่าทำถูกต้องหรือไม่ และรู้เห็นเป็นใจให้กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้หรือไม่ นอกจากนี้ กรณีที่เคยมีกระทรวงหน่วยงานใดของไทย หรือบริษัทนิติบุคคลใดได้เคยทำโครงการ หรือสัญญาการจ้างกับเบน สมิธ หรือบริษัทของเบน สมิธนั้น เราก็จะดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังเช่นเดียวกัน”


