รู้เรื่อง MOU 43-44 ‘ไทย-กัมพูชา’ คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนทำ ‘ประชามติ’?!

8 ต.ค. 2568 - 10:09

  • MOU 43-44 ‘ไทย-กัมพูชา’ คืออะไร?

  • ทำความเข้าใจข้อเท็จจริงก่อนทำ ‘ประชามติ’

รู้เรื่อง MOU 43-44 ‘ไทย-กัมพูชา’ คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนทำ ‘ประชามติ’?!

บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543-2544 กำลังเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล มีแนวคิดให้ประชาชนทำประชามติว่าจะยกเลิกหรือไม่ พร้อมกับการลงคะแนนเลือกตั้งในปี 2569 ในขณะที่ผลสำรวจของนิด้าโพลกลับพบว่าประชาชนเกือบ 70% ยังไม่ทราบเนื้อหาของเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งมีความเห็นจากทั้งฝ่ายสนับสนุนให้เดินหน้าทำประชามติ และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

สำหรับเอ็มโอยู (MOU) ย่อมาจาก Memorandum of Understanding หรือแปลว่า บันทึกความเข้าใจ

โดย MOU 2543 (MOU 43) คือบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 (ค.ศ.2000) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ 2 ฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาล ผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชา

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้กำหนดให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นเครื่องมือสำคัญ ขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี ค.ศ.1904, สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี ค.ศ.1907 และแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907

ขณะเดียวกันปมความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีที่มาจากปัญหาเส้นเขตแดน ฝ่ายไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 มาโดยตลอด ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 กัมพูชาใช้แผนที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก อ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร และยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก กระทั่งไทยสูญเสียดินแดนในส่วนปราสาทเขาพระวิหาร ในปี ค.ศ.1962

สาระสำคัญ MOU 43 กำหนดให้ไทยและกัมพูชาร่วมสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และปี 1907 และทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการดำเนินการที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดน

โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา พล.ต.วินธัย สุวารีโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึง MOU 43 ว่า ไทยยังคงยึดถือและปฏิบัติมาตลอด แต่พบปัญหาฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 500 ครั้ง ซึ่งฝ่ายไทยได้ยื่นประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างแท้จริง จนเป็นปัญหาสะสมมานานกว่า 20 ปี

ส่วน MOU 2544 (MOU 44) คือบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 (ค.ศ.2001) โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโส ประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีเป้าหมายเพื่อร่วมกันหาทางออก “พื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีป” (Overlapping Claims Area : OCA) ในอ่าวไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ และการที่กัมพูชาลากเส้นอ้างสิทธิ์ผ่าน "เกาะกูด" ของไทย ถือเป็นประเด็นที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

MOU 44 จึงกำหนดกรอบและกลไกเจรจาหาข้อสรุปในเรื่องปักปันเขตแดนทางทะเล พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ พื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม. และเรื่องพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม พื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม. ซึ่ง

เงื่อนไขบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ต้องดำเนินการทั้ง 2 เรื่องในลักษณะไม่แบ่งแยกออกจากกัน โดยมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) พิจารณาและเจรจาร่วมกัน และต้องไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละฝ่าย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีความพยายามยกเลิก MOU 44 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง ‘นายทักษิณ’ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจา แต่จนถึงปัจจุบัน MOU 44 ก็ยังไม่ถูกยกเลิกแต่อย่างใด

สาระสำคัญ MOU 44 กำหนดกรอบและกลไกการเจรจาหาข้อสรุปปักปันเขตแดนทางทะเล และความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียม ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ครอบคลุมกว่า 26,000 ตร.กม.โดยมีเงื่อนไขต้องพูดคุย 2 เรื่องนี้พร้อมกัน ไม่อาจแบ่งแยกได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์