พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายไทย เริ่มการใช้อากาศยานกระทำต่อเป้าหมาย คือ ที่ตั้งยิงอาวุธสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่ช่องอานม้า
เนื่องจากเป้าหมายเหล่านั้น ได้มีการใช้อาวุธปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิด กระทำต่อฝ่ายไทย ที่บริเวณฐานอนุพงษ์ ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นเหตุให้ มีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บจำนวน 2 นาย

* ศูนย์ปฏิบัติการพื้นที่กองทัพบกที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 8 ธันวาคม 2025 ดังนี้
• 03.00 น. ภาพข่าวชี้กองกําลังกัมพูชากําหนดเป้าหมายสนับสนุนอาวุธดับเพลิงมุ่งหน้าฝั่งไทย โดยเฉพาะบริเวณท่าอากาศยานสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์
• 05.00 น.: กองกําลังกัมพูชายิงอาวุธยิงโดยตรงไปยังตําแหน่งของกองกําลังประจําการในพื้นที่ช่องอันมา กองกําลังของเราตอบสนองตามกฎของการมีส่วนร่วม บุคลากรทุกคนปลอดภัย
• 06.00 น.: กองกําลังกัมพูชายังคงใช้อาวุธปืนทางอ้อมกับฝ่ายของเราในพื้นที่ช่องอานม้า
* การอพยพพลเรือนใน 4 จังหวัดชายแดน(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ผู้พักอาศัยทั้งหมด 385,969 คนที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนได้อพยพออกไป ในเหล่านี้ 35,623 คนได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการที่สถานสงเคราะห์ชั่วคราว เชื่อว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าที่พักอาศัยจะพักอาศัยกับญาติ ๆ หรือยังอยู่ในระหว่างการย้ายที่อยู่ ระหว่างอพยพในพื้นที่อําเภอน้ํายืน มีพลเรือนเสียชีวิต 1 รายขณะเคลื่อนย้าย
เขตกองทัพภาคที่ 2 จะยังคงติดตามสถานการณ์ การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และจ้างมาตรการทั้งหมดที่จําเป็น เพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชน และอํานาจอธิปไตยของประเทศชาติอย่างเต็มที่ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานราชการ และขอยืนยันว่าพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ยังดําเนินภารกิจด้านความปลอดภัยชายแดนอย่างระมัดระวัง เข้มแข็ง และมุ่งมั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ
* กกล.บูรพา แจ้ง “อพยพประชาชนชายแดน จ.สระแก้ว”
กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงาน กกล. บูรพา แจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว อพยพ ออกจากพื้นที่ ณ เวลา 0700 น.
ต่อมา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้ง 8 ธ.ค.68 เวลา 07.40 น. “จ.สระแก้ว แจ้งให้ผู้อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด อพยพออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือพื้นที่ปลอดภัยที่ราชการกำหนดทันที หรือติดต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่ว่าการอำเภอ เพื่อนัดหมายและอพยพ ทั้งนี้ ขอให้เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด”
ปภ. จึงได้ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS True และ NT ส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast แจ้งอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว
* นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล
สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งสื่อมวลชนปรับแผนการเดินทางลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ได้แก่ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ในเวลา 07.30 น.ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม พร้อมคณะออกไปก่อน เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังฝ่ายไทยและกัมพูชาบริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อนเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ต้องยกระดับการเตรียมพร้อมในพื้นที่อย่างเข้มงวด
โดยเวลา 09.00 น.นายกฯ เรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
* กองทัพอากาศ ชี้แจงการปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศต่อเป้าหมายทางทหารในกัมพูชา
กองทัพอากาศขอชี้แจงถึงการปฏิบัติการทางอากาศในการโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารภายในพื้นที่ปฏิบัติการของกัมพูชา โดยภารกิจทั้งหมดถูกวางแผนและดำเนินการภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคงและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ความสำคัญสูงสุดต่อการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ
พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังสุรนารี ในการตอบโต้การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย รวมทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากนี้ จากข้อมูลการตรวจสอบทางยุทธการพบว่า มีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และการเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึงอาจนำไปสู่การขยายวงของการปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่คุกคามเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนไทย จึงนำไปสู่การใช้กำลังทางอากาศ เพื่อยับยั้งและลดศักยภาพทางทหารของกัมพูชาในระดับที่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้ปฏิบัติภารกิจอย่างรอบคอบ โดยกำหนดเป้าหมายเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร คลังอาวุธ ศูนย์บัญชาการ และเส้นทางสนับสนุนการรบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ซึ่งถูกประเมินว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมทั้งยังตรวจสอบผลการโจมตี เพื่อยืนยันว่าการปฏิบัติการเป็นไปตามหลักสากลของการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defence) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity & Proportionality) อย่างเคร่งครัด”
กองทัพอากาศตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นพื้นที่ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินมาตรการทุกขั้นตอนเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
กองทัพอากาศยืนยันว่า จะปฏิบัติการทางอากาศบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ และจะตอบสนองต่อภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อเอกราชอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น




