กองทัพเปิดแนวรบอีสานใต้ หลังกัมพูชาเปิดฉากยิง ทอ.บินเอฟ16 ถล่มฐานทหาร นายกฯ ถกด่วนความมั่นคง

8 ธ.ค. 2568 - 03:19

  • กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันยิงปืนใหญ่ตอบโต้ หลังกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนและพบล็อกเป้ายิงสนามบิน จ.บุรีรัมย์

  • กองทัพอากาศขึ้นบินเอฟ16 ถล่มเป้าหมายทางทหาร ย้ำภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคงและกฎหมายระหว่างประเทศ

  • ปภ.ส่ง Cell Broadcast แจ้งอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว (อ.ตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ คลองหาด) ให้ออกจากพื้นที่ชายแดนไปศูนย์พักพิงทันที

กองทัพเปิดแนวรบอีสานใต้ หลังกัมพูชาเปิดฉากยิง ทอ.บินเอฟ16 ถล่มฐานทหาร นายกฯ ถกด่วนความมั่นคง

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายไทย เริ่มการใช้อากาศยานกระทำต่อเป้าหมาย คือ ที่ตั้งยิงอาวุธสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่ช่องอานม้า 

เนื่องจากเป้าหมายเหล่านั้น ได้มีการใช้อาวุธปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิด  กระทำต่อฝ่ายไทย ที่บริเวณฐานอนุพงษ์ ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นเหตุให้ มีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บจำนวน 2 นาย

The-Thai-army-opened-a-front-in-the-southern-Isan-region-after-Cambodia-opened-fire-SPACEBAR-Photo01.jpg

* ศูนย์ปฏิบัติการพื้นที่กองทัพบกที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 8 ธันวาคม 2025 ดังนี้

• 03.00 น. ภาพข่าวชี้กองกําลังกัมพูชากําหนดเป้าหมายสนับสนุนอาวุธดับเพลิงมุ่งหน้าฝั่งไทย โดยเฉพาะบริเวณท่าอากาศยานสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลปราสาท จังหวัดสุรินทร์

• 05.00 น.: กองกําลังกัมพูชายิงอาวุธยิงโดยตรงไปยังตําแหน่งของกองกําลังประจําการในพื้นที่ช่องอันมา กองกําลังของเราตอบสนองตามกฎของการมีส่วนร่วม บุคลากรทุกคนปลอดภัย

• 06.00 น.: กองกําลังกัมพูชายังคงใช้อาวุธปืนทางอ้อมกับฝ่ายของเราในพื้นที่ช่องอานม้า

* การอพยพพลเรือนใน 4 จังหวัดชายแดน(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

ผู้พักอาศัยทั้งหมด 385,969 คนที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดนได้อพยพออกไป ในเหล่านี้ 35,623 คนได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการที่สถานสงเคราะห์ชั่วคราว เชื่อว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าที่พักอาศัยจะพักอาศัยกับญาติ ๆ หรือยังอยู่ในระหว่างการย้ายที่อยู่ ระหว่างอพยพในพื้นที่อําเภอน้ํายืน มีพลเรือนเสียชีวิต 1 รายขณะเคลื่อนย้าย

เขตกองทัพภาคที่ 2 จะยังคงติดตามสถานการณ์ การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และจ้างมาตรการทั้งหมดที่จําเป็น เพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชน และอํานาจอธิปไตยของประเทศชาติอย่างเต็มที่ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานราชการ และขอยืนยันว่าพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ยังดําเนินภารกิจด้านความปลอดภัยชายแดนอย่างระมัดระวัง เข้มแข็ง และมุ่งมั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ

* กกล.บูรพา แจ้ง “อพยพประชาชนชายแดน จ.สระแก้ว”

กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงาน กกล. บูรพา แจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว อพยพ ออกจากพื้นที่ ณ เวลา 0700 น.

ต่อมา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้ง 8 ธ.ค.68 เวลา 07.40 น. “จ.สระแก้ว แจ้งให้ผู้อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด อพยพออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือพื้นที่ปลอดภัยที่ราชการกำหนดทันที หรือติดต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่ว่าการอำเภอ เพื่อนัดหมายและอพยพ ทั้งนี้ ขอให้เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด”

ปภ. จึงได้ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS True และ NT ส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast แจ้งอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว

* นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล

สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งสื่อมวลชนปรับแผนการเดินทางลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ได้แก่ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ในเวลา 07.30 น.ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย  และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม พร้อมคณะออกไปก่อน เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังฝ่ายไทยและกัมพูชาบริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อนเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ต้องยกระดับการเตรียมพร้อมในพื้นที่อย่างเข้มงวด

โดยเวลา 09.00 น.นายกฯ เรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

* กองทัพอากาศ ชี้แจงการปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศต่อเป้าหมายทางทหารในกัมพูชา

กองทัพอากาศขอชี้แจงถึงการปฏิบัติการทางอากาศในการโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารภายในพื้นที่ปฏิบัติการของกัมพูชา โดยภารกิจทั้งหมดถูกวางแผนและดำเนินการภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคงและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ความสำคัญสูงสุดต่อการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ

พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังสุรนารี ในการตอบโต้การปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย รวมทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ชายแดน และกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนี้ จากข้อมูลการตรวจสอบทางยุทธการพบว่า มีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และการเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึงอาจนำไปสู่การขยายวงของการปฏิบัติการทางทหารในลักษณะที่คุกคามเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนไทย จึงนำไปสู่การใช้กำลังทางอากาศ เพื่อยับยั้งและลดศักยภาพทางทหารของกัมพูชาในระดับที่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้ปฏิบัติภารกิจอย่างรอบคอบ โดยกำหนดเป้าหมายเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร คลังอาวุธ ศูนย์บัญชาการ และเส้นทางสนับสนุนการรบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ซึ่งถูกประเมินว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมทั้งยังตรวจสอบผลการโจมตี เพื่อยืนยันว่าการปฏิบัติการเป็นไปตามหลักสากลของการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defence) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity & Proportionality) อย่างเคร่งครัด”

กองทัพอากาศตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นพื้นที่ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินมาตรการทุกขั้นตอนเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

กองทัพอากาศยืนยันว่า จะปฏิบัติการทางอากาศบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ และจะตอบสนองต่อภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อเอกราชอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้เป้าหมายสูงสุด คือการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

The-Thai-army-opened-a-front-in-the-southern-Isan-region-after-Cambodia-opened-fire-SPACEBAR-Photo02.jpg
The-Thai-army-opened-a-front-in-the-southern-Isan-region-after-Cambodia-opened-fire-SPACEBAR-Photo03.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์