'สีหศักดิ์ พวงเกตแก้ว' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ภายหลังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง 'อนุทิน ชาญวีรกูล' นายกรัฐมนตรีไทย กับประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' แห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ยังมีหลายประเด็นจากถ้อยแถลงและการโพสต์ข้อความของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งไทยขอขอบคุณ 'ทรัมป์' ที่แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา และมีความปรารถนาดีต่อการเห็นสันติภาพ
ย้ำว่าสันติภาพไม่สามารถเกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย พร้อมตั้งข้อสังเกต บางถ้อยคำในโพสต์อาจสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง หรืออาจได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
โดยประเด็นสำคัญที่ฝ่ายไทยรู้สึกไม่สบายใจ คือการระบุว่าเหตุ 'ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหตุ' โดยสีหศักดิ์ยืนยันว่า ข้อเท็จจริงชัดเจนว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา และเกิดขึ้นถึง 7 ครั้ง ซึ่งได้รับการยืนยันจากคณะผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน ไม่ใช่ข้อมูลที่ฝ่ายไทยกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุยิงจรวดบีเอ็ม-21 เข้าสู่พื้นที่พลเรือนในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน การตอบโต้ของฝ่ายไทยเป็นไปอย่างได้สัดส่วนกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา และไม่ได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
ทั้งนี้ สีหศักดิ์ได้กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นมิตรประเทศและพันธมิตรทางสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาค และมีสถานะเป็นพันธมิตรนอกนาโต ความเห็นดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยและประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่อฃความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ ได้ผ่านความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกันมาอย่างยาวนาน และยังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมด้านความมั่นคงต่อไป
“เรารู้สึกผิดหวังที่ข้อความดังกล่าวนั้นกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยและประเทศไทย ในฐานะที่เรามีความภูมิใจที่เราเป็นพันธมิตรทางสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐในภูมิภาคนี้ ส่วนนี้เราก็รู้สึกผิดหวัง เพราะไทยกับสหรัฐอเมริกาความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะ เราได้ต่อสู้เพื่อเผชิญกับความท้าทาย สร้างความมั่นคงร่วมกันมาในอดีต และเรายังถือว่าประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกายังมีความสัมพันธ์บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทางด้านความมั่นคงอยู่ และจะยังคงมีอีกต่อไป”
ในส่วนของข้อเสนอให้ตรวจสอบเหตุปะทะด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมนั้น สีหศักดิ์ระบุว่า ไทยไม่มีปัญหาและพร้อมให้ตรวจสอบ โดยขอให้มีการตรวจสอบทั้งเหตุปะทะและการใช้ทุ่นระเบิด พร้อมย้ำว่าไทยได้เรียกร้องให้มีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงมาโดยตลอด รวมถึงในเวทีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาที่นครเจนีวา
ส่วนกรณีที่ 'ฮุน มาเนต' นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขอให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะ โดยวิธีทางดาวเทียมเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ประเทศไทยไม่มีปัญหา และขอให้ตรวจสอบเรื่องของทุ่นระเบิดด้วย ยืนยันว่ามีความพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งเคยเรียกร้องให้มีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ฉะนั้นหากตรวจสอบไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ขอให้ให้ตรวจสอบทั้งในเรื่องของเหตุการณ์การปะทะ และเรื่องของการใช้ทุ่นระเบิด
สำหรับคุกคามตามแนวชายแดนขณะนี้ ไม่ได้มาจากการปฏิบัติการทางฝ่ายทหารของกัมพูชาอย่างเดียว แต่มาในรูปแบบของสแกมเมอร์ด้วย ซึ่งมีคนที่ได้รับผลกระทบมากมาย ทั้งในเรื่องของการค้ามนุษย์ และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกประเทศที่อยู่ในประชาคมโลกร่วมกันที่จะปราบปราม และไทยก็ดำเนินการในส่วนของไทยอย่างเต็มที่ โดยในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 เราจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการปราบปรามออนไลน์สแกมทั้งหลาย
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยย้ำมาตลอดว่า ประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ควรถูกนำไปเชื่อมโยงกับการเจรจาการค้า อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือสถานการณ์คนไทยราว 6,000–7,000 คน ที่ติดค้างอยู่บริเวณด่านปอยเปตและต้องการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัย โดยฝ่ายไทยได้เปิดให้ชาวกัมพูชาที่ต้องการเดินทางกลับประเทศสามารถกลับได้ทั้งหมด แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมเปิดด่าน แม้จะเป็นประเด็นด้านมนุษยธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทหาร
สีหศักดิ์ระบุว่า เดิมมีการตกลงกันว่าจะเปิดด่านในช่วงบ่าย แต่ฝ่ายกัมพูชาขอเลื่อนออกไป และต่อมามีการโพสต์ข้อความของ 'สมเด็จฮุน เซน' ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ระงับการเดินทางข้ามแดนทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการคุ้มครองพลเรือนตามกติกาสากล
ประเด็นการหยุดยิง สีหศักดิ์ย้ำว่า การหยุดยิงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความพร้อมของทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถประกาศฝ่ายเดียวได้ และสถานการณ์ในพื้นที่ขณะนี้ยังไม่สะท้อนถึงความพร้อมดังกล่าว การหยุดยิงที่ไม่ยั่งยืนย่อมไม่มีความหมาย
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าในการหารือทางโทรศัพท์ไม่มีการพูดเรื่องข้อตกลงหยุดยิง และการกลับไปสู่ปฏิญญาสันติภาพ ในเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์อะไรที่ทางประธานาธิบดีสหรัฐโพสต์ และในส่วนของไทยจะต้องมีการติดต่อเพื่อหารือทางโทรศัพท์อีกครั้งหรือไม่นั้น สีหศักดิ์ กล่าวว่า คงเป็นความคาดหวังของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อได้ทุ่มเทกับข้อตกลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สหรัฐฯ ก็คงอยากเห็นการหยุดยิง
แต่ตอนนี้การหยุดยิงก็ต้องมาจากความพร้อมทั้งสองฝ่าย และในการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่มีการพูดคุยกันเรื่องการหยุดยิง แต่ในการพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ก็บอกว่าในเรื่องการหยุดยิงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันที


