จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อสั่งการของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินคดีตามกฎหมาย จากกรณีที่กัมพูชาใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์รุกรานอธิปไตยของไทย จนเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กำลังพล และทางราชการเป็นจำนวนมาก
โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในกรณีที่ต้องดำเนินคดีทางกฎหมาย ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ด้วย จึงขอมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลัก ดำเนินการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย เช่น กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และอื่นๆ โดยให้เชิญเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าร่วมประชุม เพื่อช่วยให้คำแนะนำทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว และแจ้งให้ประชาชนผู้เสียหายทราบถึงสิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญาและฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สั่งการด้วย
จิรายุ กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา แม้มีการหยุดยิงแล้ว โดยขณะนี้การประชุม GBC ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ก็กำลังดำเนินการอยู่ในช่วงวันที่ 4 - 7 สิงหาคม แต่ยังมีภารกิจภายในประเทศที่หลายหน่วยงานยังต้องดำเนินการ คือ
- การเก็บกู้วัตถุระเบิดที่กองทัพกัมพูชายิงเข้ามา และยังหลงเหลืออยู่ในชุมชนและพื้นที่ของพลเรือน ขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทั้งของเจ้าหน้าที่และประชาชน
- ช่วงที่ผ่านมา พบ “โดรน” ที่บินเข้ามามากผิดปกติ และฝ่าฝืนข้อห้ามที่ทางการประกาศไว้ ขอให้สำนักงานการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม ร่วมกับฝ่ายความมั่นคง จัดระบบการรับแจ้งเหตุจากประชาชน และตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้เร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทันที
- ให้ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เร่งประเมินสถานการณ์ร่วมกับ ศบ.ทก. ของรัฐบาล และกองทัพ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างปลอดภัย
จิรายุ กล่าวต่อไปว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ช่วงที่ผ่านมา การเผยแพร่ข่าวปลอมมีปริมาณเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดียในช่วงเวลาที่สถานการณ์มีความอ่อนไหว และประชาชนมีความต้องการทราบข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งประเทศไทยถูกโจมตีทางออนไลน์จากการเผยแพร่ข่าวปลอมฝ่ายตรงข้าม ที่พยายามบิดเบือนและสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนรับฟังข่าวสารด้วยความระมัดระวัง ให้ตรวจสอบก่อนที่จะส่งต่อข่าวหรือข้อมูล สำหรับหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง ต้องมีการมอบหมายผู้ติดตามข่าวสารตลอดเวลา เมื่อพบเฟคนิวส์จะได้แก้ไข ชี้แจง และตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และดำเนินการตรวจติดตามเฟคนิวส์ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดโดยเร็ว รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามกฎหมายในกรณีที่มีความจำเป็นด้วย