ทบ. เตือน ‘อันวาร์’ อย่ารับข้อมูล ‘กัมพูชา’ ฝ่ายเดียว หวั่นถูกมองไม่เป็นกลาง

19 ก.ย. 2568 - 10:46

  • ทบ. งัดหลักฐานสู้ ‘ฮุนมาเนต’ ยืนยัน ‘บ้านหนองหญ้าแก้ว’ เขตอธิปไตยไทย บอก ‘นายกฯมาเลเซีย’ อย่ารับข้อมูลเท็จ ‘กัมพูชา’ ฝ่ายเดียว หวั่นถูกมองไม่เป็นกลาง

  • ย้ำใช้กำลัง ‘ตำรวจ’ ควบคุมเหตุ ไม่ใช่ทหาร จ่อผลักดัน ‘ชาวกัมพูชา’ ออกพื้นที่ไทย รอเวลาเหมาะสม ไม่ต้องรอ รบ. ไฟเขียว

ทบ. เตือน ‘อันวาร์’ อย่ารับข้อมูล ‘กัมพูชา’ ฝ่ายเดียว หวั่นถูกมองไม่เป็นกลาง

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า หลังจากที่มีการประกาศหยุดยิง​ครบ​ 53 วัน พร้อมเข้าสู่กลไก ทวิภาคีทุกระดับเพื่อวางกฏกติกา นำไปสู่การสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง ซึ่งกำลังฝ่ายทหารของไทยได้ยึดมั่นตาม ข้อตกลง การเตรียมความพร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่พบว่ากำลังทหารของฝ่ายกัมพูชา​ ยังคงมีความพยายามในการดำเนินการต่างๆ ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทั้งการใช้อาวุธ​ทุ่นระเบิดสังหาร​บุคคล​ การยั่วยุ เผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน​การใช้โดรน​ การเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน การชุมนุมของชาวบ้านชาวกัมพูชาในพื้นที่เขตแดนของไทย รวมไปถึงการให้ข่าวสารของผู้นำกัมพูชาในเวทีต่างประเทศ​

นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการบิดบนพื้นที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ของไทย​ พยายามใช้กำลังภาคประชาชนโดยเฉพาะสตรี​ เด็กพระภิกษุ​ แสดงเชิงสัญลักษณ์ในการแสดงออก นำประชาชนมาออกหน้าแทนภาคราชการและเจ้าหน้าที่ทหาร โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปล่อยให้มวลชนแสดงออกในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อเจ้าหน้าที่ทหารไทยและประชาชนชาวไทย หรือเป็นฝ่ายเรียกร้องในประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง​

ทั้งเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และ กองทัพภาคที่ 2 เพื่อสิ่งเหล่านี้เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่องโดยไทยได้รวบรวมข้อมูล เรียบร้อยแล้วเพื่อประท้วงในบัญชีต่างๆ แต่ยังคงยืนยันว่าตัวเองขอให้ความจริงใจเพื่อจัดการประชุมหารือทางออก อย่างสันติวิธี​

ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีประชาชนชาวกัมพูชา ออกมาชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและมีพฤติกรรมยั่วยุ​ ใช้สิ่งเทียมอาวุธเช่น​ไม้หรือก้อนหินปาตำรวจไทยในพื้นที่อธิปไตยไทยพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว​ ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์​ แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย

ซึ่งการชุมนุมประท้วง​ พบว่ามีพฤติกรรมของทหารกัมพูชาร่วมในเหตุการณ์แต่ไม่ได้มีทีท่าที่จะห้ามปรามประชาชน เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า​ เป็นการให้ประชาชนออกหน้า​ ในการยั่วยุหรือรุกล้ำดินแดน และกระทำผิดกฎหมายในแผ่นดินไทยอย่างชัดเจน ทางการไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการจราจล โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อรักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่มีทีท่าที่จะเป็นในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่มีทีท่าและความจริงใจในการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

พล.ต.วินธัย​ กล้าวยืนยันว่า​ อันวาร์​ อิบบาร์ฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้รับข้อมูลที่ไม่ ไม่ถูกต้องจากนายฮุน​ มาเนตนายกรัฐมนตรีกัมพู และคณะผู้สังเกตการณ์​ชั่วคราว​ หรือ IOT ของฝ่ายกัมพูชา ต่อกรณีบ้านหนองหญ้าแก้ว ไม่ใช้พื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ แต่เป็นเขตอธิปไตยของไทย แต่มีชาวกัมพูชา ลุกล้ำเข้ามา

ในขณะที่ฝ่ายไทยได้วางแนวรั้วลวดหนาม ในพื้นที่อธิปไตยของไทยเอง​ จึงไม่ต้องใช้แผนที่ใดใด​ และกองทัพบกจะประสานกับทางกองทัพไทย เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง​

พร้อมทั้งยืนยันว่า​การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมในวันนั้น​เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ​ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหาร​ ตามที่ ฮุน​ มาเนต​ กล่าวอ้าง​ และการใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตา​ ไม่ใช่การสลายการชุมนุม เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้รื้อแนวลวดหนาม​ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางราชการ เพราะฉะนั้นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาน่าจะนำเสนอข้อมูลต่างๆในเวทีต่างประเทศผิดพลาด​ จึงจะมีการประสาน กระทรวงการต่างประเทศต่อไป​

พร้อมทั้งยืนยันว่าไทยไม่ได้มีการขยายขอบเขตเกินกว่าพื้นที่พิพาท เนื่องจากพื้นที่ จ.สระแก้ว​ อยู่ตรงกับพื้นที่ จ.บ็อนเตียย์เมียนเจย พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่แล้ว​ ไม่ใช่พื้นที่ใหม่ และไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และไม่ใช่พื้นที่เหนืออธิปไตยของกัมพูชา แต่ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชานอกจากจะละเมิดข้อตกลง MOU 2543 เข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ แต่ยังรุกล้ำ เข้ามายังพื้นที่อธิปไตยของไทย​ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นความเร่งด่วนแรกที่ต้องดำเนินการ และไม่ได้อยู่ในกลไกของ JBC​

เป็นการรายงานข้อมูลเท็จเพียงฝ่ายเดียวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึงคณะ IOT ฝ่ายกัมพูชา​ไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย​ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จึงขอเรียกร้องให้สื่อสารไปยังเวทีต่างประเทศด้วยความโปร่งใสสุจริต ตรงไปตรงมา​

พล.ต.วินธัย โฆษก ทบ

นอกจากนี้ จะให้กระทรวงการต่างประเทศประสานไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่ายังมีข้อมูลของฝ่ายไทย เพื่อป้องกัน ไม่ให้มาเลเซียถูกมองว่าไม่มีความเป็นกลาง จึงอยากให้รอข้อมูลจากฝั่งไทย มุมมองของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอาจจะเปลี่ยนไป​

ทั้งนี้ พล.ต.วินธัย​ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม กรณีที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไม่รอข้อมูลจากคณะ IOT ฝ่ายไทย​ก่อนออกมาให้ความเห็น ว่า ไม่ทราบ​ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีกัมพูชาต่อสายตรงไปยังนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงทำให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น ตนก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากเกินกรอบหน้าที่

พล.ต.วินธัย​ ยอมรับว่า​ ปัญหาพื้นที่จังหวัดสระแก้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างพลเรือนกัมพูชา กับเจ้าหน้าที่รัฐของฝ่ายไทย ถือว่าเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ซึ่งที่ผ่านมาพยายามใช้ความอดทนอดกลั้น และประชาชนก็ได้เห็นแล้วว่าเรามีพัฒนาการทำให้เรื่องดังกล่าวนั้นถูกต้อง ซึ่งตอนแรกกังวลเรื่องภาพลักษณ์ ในสายตาของต่างประเทศ แต่ก็ยังพบว่าในระดับต่างประเทศมีการสื่อสารข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ใช่เฉพาะระดับผู้นำของประเทศมาเลเซีย แต่ยังรวมถึงสำนักข่าวต่างประเทศ หลังจากนี้จะพยายามใช้กลไกที่มีอยู่ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกต้อง

การใช้กำลังผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ ที่รุกล้ำอธิปไตย ไม่ต้องรอให้รัฐบาลไฟเขียวสามารถดำเนินการได้ทันที เพียงแต่ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก

พล.ต.วินธัย โฆษก ทบ.

อย่างไรชาวกัมพูชาก็ต้องออกไปจากพื้นที่นี้​ ยืนยันว่าไม่ได้มีการเตรียมยาแรงอะไรแต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ​ แต่ต้องสื่อสารให้ได้ก่อนว่าพื้นที่นั้นสามารถดำเนินการได้อย่างชอบธรรม ซึ่งน่าจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เนื่องจากนายกรัฐมนตรีกัมพูชานำไปเผยแพร่เช่นนั้น จึงต้องให้ข้อมูลที่หักล้างส่วนนั้นให้ได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์