เรื่องมันมีอยู่ว่า <> กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งของสุชาติ ตันเจริญ ก็เจอเหตุไฟไหม้ผ้าเหลืองลวกไม้ลวกมือ <> การจัดสรรเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง อาจจะได้เลือกพร้อมกับเก้าอี้รองประธานคนที่หนึ่ง ที่ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นั่งอยู่ ดูอาการแล้ว ไม่รอด ต้องหาคนใหม่<> พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
ของร้อน‘วงการสงฆ์’
รับน้อง ‘พ่อมดดำ’
ชื่อติดลมบน ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ‘พ่อมดดำ’ สุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่หน่วยงานในกำกับดูแลน้อยนิด แค่ 4 หน่วยงาน แต่กลายเป็นภาระมหาศาล
โดยเฉพาะ ‘พศ.’ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่โดนยุทธการ ‘นารีพิฆาต’ ทำเอาร้อนฉ่าไปทั้ง ‘วงการผ้าเหลือง’ จน ‘สุชาติ’ นักการเมืองจอมเก๋าเจ้าของสถิติผู้แทนฯ 10 สมัย ยังบ่นพึมโดน ‘รับน้อง’ แรง
เอาเข้าจริงการมีชื่อ ‘พ่อมดดำ’ โผล่มาในโผ ‘ครม.แพทองธาร 1/2' ถือว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย
แม้ชื่อชั้นของ ‘สุชาติ’ แกนนำกลุ่ม 16 ในตำนานจะไม่ธรรมดา แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันบารมีหด ชื่อไม่ขลัง ไร้กลุ่มก๊วนเลี้ยง สส. แบบสมัยที่สถาปนา ‘กลุ่มบ้านริมน้ำ’ ที่เคยเรืองอำนาจ
ทว่ากลับมีชื่อคั่วเก้าอี้ ‘เสนาบดี’ แบบม้วนเดียวจบ จนคอการเมืองยังงง
สารพัดโผ รมต.ที่สื่อแทบทุกสำนักแข่งกันจัด ชื่อ ‘สุชาติ’ เข้ามาใน ‘ช่วงท้าย’ ทว่า ความจริงแล้วต้องนับเป็น ‘คนแรกๆ’ ที่การันตีจับจอง 1 เก้าอี้งวดนี้ เพียงแต่ยังไม่รู้จะไป ‘แลนด์ดิ้ง’ ลงกระทรวงไหนเท่านั้นเอง
หลัง ‘V1’ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้บุกไปเยือน ‘บ้านริมน้ำ’ ย่านนนทบุรี ด้วยตัวเอง ขณะเปิดศึกไฝว้กับ ‘ค่ายเขากระโดง’ พรรคภูมิใจไทย
แม้ในวงสนทนาจะไม่มีการทาบทามให้เข้าร่วม ครม. หรือหยิบยื่นเก้าอี้รัฐมนตรีให้แบบตรงๆ มีเพียงการพูดถึงตำแหน่ง ‘ประธานสภาผู้แทนราษฎร’ ที่เดิมทีวางตัว ‘พ่อมดดำ’ ให้ขึ้นทำหน้าที่บนบัลลังก์ หลังผ่านเก้าอี้รองประธานสภาฯ มาแล้วถึง 3 สมัย
ตกปากรับคำกันเป็น ‘ปฏิญญาฮ่องกง’ ครั้งที่ ‘พ่อมดดำ’ จับเครื่องไปร่วมเบิร์ทเดย์ปาร์ตี้ ‘ทักษิณ’ ช่วงที่ขณะนั้นยังไม่ได้กลับประเทศไทย ก็ได้พูดคุยถึงโอกาสการกลับมาร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย โดยพร้อมให้การสนับสนุนให้ไปถึงยอดสุดของ ‘ฝ่ายนิติบัญญัติ’
แต่ก็เป็นไปอย่างที่ทราบ เก้าอี้ประธานสภาฯ ตกเป็นของ ‘วันนอร์’ วันมูหะหมัดนอร์ มะทา ผู้อาวุโสจากพรรคประชาชาติ ตาม ‘เงื่อนไข’ ต่อรองระหว่างพรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) กับพรรคเพื่อไทยช่วงที่จะตั้งรัฐบาลร่วมกัน ก่อนที่ ‘ค่ายสีส้ม’ จะหลังเดาะกับเกม ‘สลับขั้ว’
ไม่เพียงแต่ ‘ชาวส้ม’ ที่โดนแกง ‘พ่อมดดำ’ ก็เจ็บไม่แพ้กัน ชวดเก้าอี้ในฝันอีกคำรบ ซ้ำรอยเลือกตั้งปี 2562 ที่เจอผู้อาวุโส ‘นายหัวตรัง’ ชวน หลีกภัย ปาดหน้าด้วยเหตุผลคล้ายกัน ปลอบใจด้วยเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1
หนนี้ดูจะเซ็งกว่า มีเพียงตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย รองก้น และแทบไม่มีบทบาทในฝ่ายนิติบัญญัติ หรือมีชื่อลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีในฝ่ายบริหารเลยด้วยซ้ำ
การที่ ‘สุชาติ' พลิกโผกลับมาโลดแล่นบนเส้นทาง ‘ฝ่ายบริหาร’ ที่ห่างหายไปมากกว่า 30 ปีนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะ ‘V1’ ต้องการ ‘เยียวยา’ และรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ มากกว่าจะหวังให้มาเป็น ‘ตัวช่วย’ กอบกู้วิกฤตรัฐบาล หรือมอบหมายภารกิจใดเป็นพิเศษ
ด้วยเก้าอี้ ‘รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี’ ที่ดูจะ ‘เล็ก’ เมื่อเทียบกับชื่อชั้นของ ‘สุชาติ’ ที่แม้จะผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ถูกยกให้เป็น ‘เบอร์ใหญ่’ ในยุทธจักรการเมืองไทย
และยิ่งดู ‘ไม่สมศักดิ์ศรี’ ไปอีก ได้รับการแบ่งงาน ‘สุชาติ’ เจ้าของรหัส ‘สร.11’ ได้ดูเพียง 4 หน่วยงานถ้วน อันได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา) และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ผิดกับ ‘สร.7’ จิราพร สินธุไพร รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี หรือ ‘หลานน้ำ’ ของ ‘ลุงสุชาติ’ ที่ได้กำกับดูแล 6 หน่วยงาน ที่ดูจะได้น้ำได้เนื้อมากกว่า
แต่ที่เห็นและเป็นไปก็พบว่า ‘สุชาติ’ ฐานะกำกับดูแล ‘สำนักพุทธฯ’ ต้องเผชิญ ‘ของร้อน’ วีรกรรม ‘สีกากอล์ฟ’ ที่แปดเปื้อนวงการผ้าเหลืองครั้งประวัติการณ์ ‘พระผู้ใหญ่ชั้นเทพ-ชั้นครู’ ต้องจำนนสละจีวรหลายสิบชีวิต
ฆราวาสอย่าง ‘สำนักพุทธฯ’ ตกเป็นจำเลยร่วมไปด้วย ทั้งที่มีอำนาจ ‘น้อยนิด’ ส่งเสริม สนับสนุน ประสานงานกิจการพระพุทธศาสนาในประเทศ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ‘มส.’ คณะกรรมการมหาเถรสมาคม เท่านั้น โดย ‘ไร้ดาบ’ ลงโทษ ‘ภิกษุ’ ที่เป็นเรื่องที่ ‘คณะสงฆ์’ ว่ากันเอง
แรงกดดันจากสังคม ก็ทวีความรุนแรงขึ้นผ่าน ‘ตัวเร่ง’ อย่าง ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ที่ ‘เล่นข่าว’ อย่างสนุกสนาน ไม่เกรงใจ ‘พระเถระ’ ที่ส่งสัญญาณปรามให้ ‘ทำเงียบๆ’ โดยเฉพาะวิธี ‘สึก’ ที่ดูจะไม่ให้เกียรติ ‘ศาสนจักร’ แม้แต่น้อย
ไม่เท่านั้น ‘รองฯเต่า’ ยัง ‘แวะ’ สวด ‘สำนักพุทธฯ’ ว่า ไม่จริงใจ เป็นเหตุให้พุทธศาสนาเสื่อม ซึ่งเป็นการตำหนิในวันเดียวกับที่ ‘สุชาติ’ เพิ่งเข้ามอบนโยบายแก่ พศ. แถมแย้มด้วยว่า ยังมีข่าวที่ทำให้วงการสงฆ์สั่นสะเทือน กรณี ‘พระผู้ใหญ่ที่สมณศักดิ์สูงกว่า’ พระในคดี ‘สีกากอล์ฟ’ กระทำผิดปาราชิก จะต้องจับสึก
ย้ำว่า หากเปิดชื่อ ทุกคนจะต้อง ‘ตะลึง’ เพราะเป็น ‘พระมีชื่อ’ ที่ทุกคนรู้จัก
โดยที่ไม่คิดจะประสานให้ ‘สำนักพุทธฯ’ เข้ามามีส่วนร่วม หรืออย่างน้อยกับการประสาน ‘ฝ่ายการเมือง’ ให้รับทราบข้อมูล เพื่อเตรียมการในบทบาทหน้าที่ตัวเอง
ต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นภารกิจ ‘น้อยแต่ยาก’ ที่พิสูจน์ฝีมือ ‘พ่อมดดำ-สุชาติ’ แบบไม่ให้ตั้งตัว.
<<<<<<>>>>>>>
ศึกชิงเก้าอี้ ‘รองประธานสภาฯ2’
อาจรอเลือกพร้อม ‘รองฯ 1’
ลูกผีลูกคน สภาพของ ‘สภาผู้แทนราษฎร’ ยามนี้ ผลจากการถีบ ‘ค่ายสีน้ำเงิน’ พรรคภูมิใจไทย พ้นรัฐบาล จนเสียงปริ่มน้ำ พร้อม ‘ล่ม’ ได้ตลอดเวลา หรือแค่เปิดประชุมก็ยังหืดจับ
ทำให้ ‘ทุกมือ’ ในสภาฯมีราคาสูงปรึ๊ด แต่ ‘งูเห่า’ ค่อนข้างขาดแคลน
ขณะเดียวกันก็มีเก้าอี้บนบัลลังก์ ‘รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2’ โควตาเดิมของพรรคภูมิใจไทย ที่ว่างเว้น ยังไม่ได้บทสรุป ทั้งที่ผ่านการประชุมมาหลายหน
เหตุหนึ่งด้วยเสียงปริ่มๆ หายกันราว 10 เสียง หากรีบร้อนทะเล่อทะล่า ก็อาจ ‘เสียท่า’ ให้กับฝ่ายค้าน หากบริหารจัดการไม่ลงตัว
ทำให้ พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะครองเพียงเก้าอี้ ‘รองฯ 1’ แต่คิดสะระตะแล้ว ก็พร้อมที่จะมอบเก้าอี้ ‘รองฯ 2’ ให้กับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อกระชับเสถียรภาพรัฐบาลให้มั่นคงที่สุด
นำมาซึ่งคำถามว่า โควตาควรจะเป็นของพรรคใด ระหว่าง ‘ค่ายลุง’ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี สส.ในสังกัดมากเป็นอันดับ 2 แต่ก็เป็น ‘พรรคอกแตก’ แบ่ง สส.เป็น 2 ฝั่งๆ ละ 18 คน หลังสัประยุทธ์กันครั้งใหญ่ ก่อนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา จนจูนกันไม่ติด
หรือจะเป็น ‘ค่ายผู้กอง’ พรรคกล้าธรรม ที่วันนี้มี สส.อย่างเป็นทางการ 26 เสียง แต่ ‘เคลม’ ว่า จริงๆแล้วมีมากกว่า 30 ชีวิต ประกาศจับจองเก้าอี้ ‘รองฯ 2’ ล่วงหน้า และมีความมั่นใจว่า ความสำคัญของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรค ในฐานะ ‘มืองาน’ ของ ‘V1’ ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ จะทำให้ได้มาครอบครอง
อ่านท่าทีของ ‘ธรรมนัส’ ผ่านคำสัมภาษณ์ที่ให้ไว้เมื่อวันสัมมนาพรรคเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ชัดถ้อยชัดคำว่า ‘พรรคกล้าธรรมมีสิทธิเสนอ’ ประกอบกับภายในพรรคก็มีแย้มชื่อ ‘ดร.เอ’ สะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี 2 สมัย เป็นผู้เหมาะสมกับตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2
น่าสนใจไม่น้อยว่า ความมั่นใจของ ‘ธรรมนัส’ นั้นแสดงออกมาหลังจากที่เพิ่งร่วมวง ‘ทีมไทยแลนด์’ ประชุมกับ ‘เถ้าแก่บ้านจันทร์ฯ’ ที่บ้านพิษณุโลก เพื่อหามาตรการรับมือกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกาเสียด้วย
ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เดิมสงวนท่าที จากปัจจัยความแตกแยกภายในพรรค กลับได้มีกำลังใจ เมื่อ ‘เสี่ยบอย’ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พูดย้ำอีกครั้งว่า โควต้าควรจะเป็นของพรรคร่วมรัฐบาล เจาะจงที่พรรคอันดับ 2 ที่ก็คือ ‘รวมไทยสร้างชาติ’
จนมีการปล่อยชื่อ ‘ดร.แด๊ก’ ธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ปวารณาตัวเป็น ‘ทายาทลุงตู่’ เป็นแคนดิเดตทำหน้าที่ ‘รองฯ 2’ หากแต่ก็ยังมีข้อเคลือบแคลงในความเป็น ‘อันหนึ่งอันเดียว’ ของ ‘กลุ่ม 18’ ที่ประกาศรวมตัวกันเฉพาะกิจหลังฟาดกับ ‘ก๊วนหัวหน้า-เลขาฯ’ ที่มี่ 18 เสียงเท่ากัน
ฟากฝั่ง ‘ก๊วนหัวหน้า-เลขาฯ’ ก็มีชื่อ ‘สส.มุ่ง’ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี 2 สมัย ที่ถือว่าทำหน้าที่ในสภาฯได้อย่างโดดเด่นมาตลอดตั้งแต่สมัยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จนมีชื่อชิงตำแหน่งเหนือผู้อาวุโสทั้ง ‘จุติ ไกรฤกษ์-วิทยา แก้วภราดัย’ ที่พรรษาการเมืองเหนือกว่า แต่ติดที่ออกลูก ‘งอแง’ ครั้งมีมติสนับสนุน ‘อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯต่อ หลังกรณีโทรศัพท์ ‘อังเคิล’
จากสถานการณ์ช่วงชิงที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ “สส.อีสาน เพื่อไทย’ ที่ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ของพรรค และรัฐบาล เคลื่อนไหวแสดงความต้องการให้ ‘แกนนำพรรค’ ยืนยันสิทธิ์ในเก้าอี้ ‘รองฯ 2’ ไว้กับพรรค
เพราะเมื่อ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย ในโควตาภาคเหนือ ได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 อยู่แล้ว 1 คน ภาคอีสานที่มี สส.มากกว่า ก็ควรได้เก้าอี้มากกว่า และพอรับได้กับเก้าอี้ ‘รองฯ 2’ ที่ ว่างอยู่
โดยมีชื่อ ‘น้าหลาด’ ฉลาด ขามช่วง สส.ตลอดกาลเมืองเกินร้อย กับตัวเลข 11 สมัยที่ครองใจคนร้อยเอ็ด เป็นแคนดิเดต สำคัญที่เส้นทางการเมืองที่ผ่านมา ‘น้าหลาด’ ยังไม่มีโอกาสสัมผัสความเป็น ‘เสนาบดี’ หรือขึ้นบัลลังค์ประธาน-รองประธานสภาฯ อย่างที่ควร
เชื่อว่าบทสรุปโควต้า ‘รองฯ 2’ น่าจะรู้กันก่อนถึงนัดหมาย ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ รับประทานอาหารในวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 นี้
แต่ก็ยังต้องรอลุ้นว่า อาจมี ‘คิวแทรก’ ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ รองประธานสภาฯ กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 แทรกแซงการจัดทำงบประมาณ ที่ ‘คาดว่า’ จะรับคำร้องไว้ไต่สวนในวันนี้ (17 กรกฎาคม 2568) พร้อมสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่
ก่อนจะ ‘ฟัน’ ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ที่อาจมีโควตา ‘รองฯ 1’ ว่างเพิ่มอีก 1 เก้าอี้
ทำไปทำมาสภาฯอาจต้องรอโหวตเลือก ‘รองฯ 1-รองฯ 2’ พร้อมกันหลังจากทราบชะตากรรม
‘พิเชษฐ์’ ที่ใครเห็นก็ว่า ไม่รอดแน่.
<<<<<<>>>>>>>>>