เรื่องมันมีอยู่ว่า <> รอง‘พิเชษฐ์’ ไม่น่ารอด <> ศึกชิงเก้าอี้ ‘โฆษกรัฐบาล’ <> เปิดสาแหรก อธิบดี ‘เอ็ม’

15 ก.ค. 2568 - 00:08

  • พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 โอกาสหลุดสูงมาก

  • ชิงเก้าอี้โฆษกรัฐบาล จิรายุกับจักรภพ จบด้วยผู้แพ้ย้ายพรรค

  • เปิดประวัติอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นคนใหม่

เรื่องมันมีอยู่ว่า <> รอง‘พิเชษฐ์’  ไม่น่ารอด  <> ศึกชิงเก้าอี้ ‘โฆษกรัฐบาล’ <> เปิดสาแหรก อธิบดี ‘เอ็ม’

เรื่องมันมีอยู่ว่า   <> รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 พิเซษฐ์ เชื้อเมืองพาน ล้ำเส้นการจัดงบประมาณ โอกาสหลุดสูงมาก <> โฆษกรัฐบาลเก้าอี้ที่กำลังชิงกันอยู่ ใส่ชื่อจักรภพ เพ็ญแขไว้ล่วงหน้า ส่วนคนเก่าเตรียมย้ายพรรค <> เปิดประวัติอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นคนใหม่ ลูกนายแบงก์ หลานโฆษกวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ <> พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

รอง‘พิเชษฐ์’  ไม่น่ารอด  

ล้วงงบฯ ผิด ‘ม.144’

สะเทือนถึงครม. ค่อนคณะ

สัปดาห์นี้ศาลรัฐธรรมนูญ มี ‘วาระร้อน’ พิจารณาคำร้องยื่นถอดถอน ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากตำแหน่ง จากกรณี ‘ล้วงลูก’ ตั้งโครงการของบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรไปลงที่ ‘เชียงราย’ พื้นที่ตัวเอง

อันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ที่ระบุว่า

‘ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้’

เป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับ ‘ปราบโกง’ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการ ‘แปรญัตติ’ ปรับลดงบประมาณในส่วนอื่นเพื่อเอางบประมาณไปลงพื้นที่ของตัวเอง เหมือนที่เคยทำกันเป็นปกติในอดีต 

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่ผ่านพ้นไป ก็เป็น ‘สส.ต้า’ ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน เป็นผู้เปิดประเด็นนี้ เนื่องจากพบว่า ในการจัดทำงบประมาณปี 2568 ‘พิเชษฐ์’ ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษายกร่าง 4 โครงการ รูปแบบ ‘แจกทุน-สนับสนุนโครงการ’ มูลค่ารวม 443 ล้านบาท เพื่อไปลงในพื้นที่ของตัวเอง ก่อนที่ฝ่ายข้าราชการจะแย้งว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขัดข้อกฎหมายหลายข้อ จึงต้องปรับมาใช้รูปแบบ ‘อบรม-สัมมนา’ จำนวน 3 โครงการ งบประมาณ 350 ล้านบาท

รวมแล้วต้องจัดงานสัมมนาทั้งหมด 2,294 ครั้งในช่วงระยะเวลา 1 ปี หรือสัมมนาอย่างน้อย 6 งานต่อวันเลยทีเดียว

ปรากฎถูก คณะรัฐมนตรีตัดงบประมาณเหลือเพียง 83 ล้านบาท แต่ ‘พิเชษฐ์’ ก็ใช้กำลังภายในกดดันจนได้งบประมาณเพิ่มมาเป็น 178 ล้านบาท ซึ่งก็ยังต้องจัดสัมมนามากกว่า 1,300 ครั้งต่อปี หรือวันละเกือบ 4 งาน ที่รู้ทั้งรู้ว่า ‘เป็นไปไม่ได้’

มีคำบอกเล่าจากคณะกรรมาธิการงบประมาณฯปี 2568 ด้วยว่า ‘พิเชษฐ์’ ถึงขั้นเข้าไปในห้องประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ในขณะที่มีการพิจารณางบประมาณที่ตัวเองเป็นผู้ขอ ทั้งที่ธรรมเนียมปฏิบัติเป็น ‘สิ่งที่ต้องห้าม’

เรื่องนี้ ‘สส.ต้า’ มองว่า เป็นการของบประมาณที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่สามารถใช้งบประมาณตามวัตถุประสงค์ได้ และตั้งใจจะโยกงบประมาณไปใช้ใน ‘โครงการอื่น’ ตั้งแต่แรก

โดยที่เป็นโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ อย่างกรณีเอกสาร สำนักรักษาความปลอดภัย รัฐสภา ระบุว่า ‘พิเชษฐ์’ มีดำริให้มีกองเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ จึงจัดโครงการฝึกอบรมโดยใช้งบประมาณ 3.5 แสนบาท ที่โยกงบประมาณจากโครงการสัมมนามาใช้ ซึ่งมีการกระทำลักษณะนี้อีกหลายโครงการ

เป็นพฤติกรรมที่โฉ่งฉ่างถึงขนาด ‘คนเพื่อไทย’ ยังแปลกใจว่า เหตุใด ‘พิเชษฐ์’ ถึงกล้าทำ ไม่ต่างจากเอาคอไปพาดเขียง ตั้งใจจบชีวิตทางการเมือง ไม่เพียงถูกถอดถอน-ตัดสิทธิ์ ยังจะมีโทษคุกตารางตามมาอีก

ว่ากันว่าแค่เนื้อหาตามคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ลงดาบปลิดอนาคต ‘พิเชษฐ์’ แต่เบื้องแรกตามกระบวนการคงต้องรับคำร้องเพื่อไต่สวน พร้อม ‘แขวน’ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

ไม่ช้าไม่นาน ต้นเดือนสิงหาคมก็ ‘ลงดาบ’ ได้ทันที ผลเป็นอย่างไรไม่ต้องสืบ ที่เตะถ่วงเสนอแต่งตั้งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ก็อาจเพราะรอเลือกทั้ง ‘รอง 1-รอง 2’ ในคราวเดียว

และหากพิเชษฐ์ไม่รอด ‘มาตรา 144’ จริง ก็จะเป็น ‘บรรทัดฐาน’ ในอนาคต

ด้วยวันนี้มี 2 สำนวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหา ครม.ตั้งแต่ชุด ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา ทวีสิน มาถึง ‘น้องอิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ไปถึง สส.-สว. รวมกว่า 600 ชีวิต กระทำผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ‘มาตรา144’ ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568

ที่ตัดลดงบประมาณจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ที่เดิมจัดสรรไว้สำหรับการชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ถูกนำไปใช้ในโครงการ ‘แจกเงินหมื่น’

หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ส่งไม้ต่อให้ ศาลรัฐธรรมนูญ ลงดาบ

ด้วย ‘บรรทัดฐาน’ ก็ว่ากันว่า ‘ไม่น่ารอด’  สำหรับคนที่อยู่ใน ‘ครม.เศรษฐา’ ที่วันนี้ก็นั่งสลอนอยู่ค่อน ‘ครม.แพทองธาร’

<<<<<<<>>>>>>>> 

ศึกชิงเก้าอี้ ‘โฆษกรัฐบาล’

 จักรภพคืนบัลลังก์

‘จิรายุ’ เตรียมย้ายพรรค

วันนี้คงรู้แน่ว่า ‘โฆษกรัฐบาล’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการ ‘โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี’ จะยังเป็น ‘คนเก่า’ หรือจะได้ ‘คนใหม่’ มาแทนที่

ด้วยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘พี่เอก’ จักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรรัฐมนตรี เปิดเกมรุกผ่านสังคมออนไลน์ เริ่มจากแง้มๆเป็น ‘นัย’ ผ่าน ‘หมออั้ม’ อิราวัต อารีกิจ เดอะแบกรัฐบาล ที่โพสต์ภาพ ‘จักรภพ’ พร้อม ‘ป๊อบ’ สุไพรพล เพ็ญแข ภรรยา และ ‘นิว’ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการสายเพื่อไทย

โดยระบุคำบรรยายว่า ‘สวัสดีครับ ท่าน #โฆษกรัฐบาล #ภริยาท่านโฆษกฯ และ #รองโฆษกฯ ป้ายแดง ของเรา’ พร้อมแท็กไปที่เฟซบุ๊กของทั้ง 3 ในภาพ รับกับ ‘กระแสข่าว’ ว่า กำลังจะมีการเปลี่ยนตัวโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จากนั้นก็เป็นการบรรเลงของ ‘จักรภพ’ เองที่โพสต์เฟซบุ๊กรัวๆต่อเนื่องหลายวัน ถึงการเข้ามารับตำแหน่ง ‘โฆษกรัฐบาล’ สำทับด้วยรายงานข่าวว่า ‘ทีมงานพี่เอก’ ไปดูห้องทำงานที่ตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งที่เจ้าของเก้าอี้ ‘เสี่ยยุ’ จิรายุ ห่วงทรัพย์ ก็ยังพยายามทำหน้าที่อยู่ โดยไม่มีการตอบโต้ใดๆ มีเพียงคอย ‘แซะ’ ผ่านสายโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวที่สนิทเท่านั้น

และเมื่อการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ‘จิรายุ’  ก็ปรากฏตัวเดินตาม ‘นายกฯอิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม พลันที่ปะหน้าสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลก็หยิบยก ‘มารยาททางการเมือง’ ขึ้นมาพูดถึง

อันตีความเป็นอื่นไม่ได้นอกจากกระทบกระเทียบไปถึง ‘จักรภพ’ ที่รุกไล่หนักขึ้นเรื่อยๆ

อากัปอาการของ ‘โทรโข่งยุ’ บ่งบอกถึงความจำนนที่จะไม่สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ท่ามกลางเสียงลือว่า ถูก ‘นายกฯน้องอิ๊งค์’ เรียกไปแจ้งข่าวร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และวันเดียวกันนั้น ‘จักรภพ’ โพสต์สวนในทีว่า

‘ในเวลาที่หลายคนคิดหวงเก้าอี้เราต้องเปลี่ยนแนวความคิดเอาประเทศชาติบ้านเมืองให้รอดก่อน​ ลดความขัดแย้ง​ สร้างนโยบายที่เป็นประโยชน์สูงสุด พูดง่าย​ ๆ​ คือ​คิดให้สูงกว่าตัวเอง’

พร้อมคลิปให้สัมภาษณ์สื่อยอมรับว่าได้รับการทาบทามเป็นโฆษกรัฐบาล

ยิ่งไปกว่านั้น ถัดมาอีก 2 วัน ก็โพสต์ภาพตัวเองพร้อมปริญญาบัตร ระบุข้อความ

‘เตรียมเอกสารกรอกประวัติ โฆษกรัฐบาล​ คุณจักรภพ​ เพ็ญแข ปริญญาตรี​ รัฐศาสตร์จุฬาฯ ปริญญาโท​ Johns Hopkins University’

วันต่อมาก็แชร์ข่าวที่ระบุว่า ได้กรอกประวัติ ส่งไปยัง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก่อนไปปรากฏตัวที่บ้านพิษณุโลก เข้าร่วมประชุม ‘ทีมไทยแลนด์’ แก้ปัญหาภาษีทรัมป์ ในฐานะ ‘ผู้สังเกตการณ์’  ที่ถูกเชิญให้ร่วมประชุม วงเดียวกับ ‘V 1’ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

และแม้ว่า 2 คีย์แมนรัฐบาล ‘มท.อ้วน’ ภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย จะทำทีไม่รู้เรื่อง หรือ ‘เลขาฯมิ้ง’ จะกั๊กว่า ให้รอประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ทางลมก็ชัดแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนโฆษกรัฐบาล และคนใหม่ก็ไม่พ้น ‘พี่เอก-จักรภพ’ ที่ยืนยันว่าตัวเอง ‘เคลียร์’ ไม่มีคดีติดตัวอย่างแน่นอน

เหมือนทางสะดวก ทั้ง ‘สเปก’ ที่เหมาะสม มีประสบการณ์เคยทำมาก่อน แถม ‘คนเก่า’ สอบตกในการทำหน้าที่โฆษก  ทว่าก็มี ‘สะดุด’ เพราะแจอแรงต้านจาก ‘เจ๊’ ที่มองว่าไม่ใช่พวก

ทำให้ ‘ภูมิธรรม’ รักษาราชการแทนนายกฯ ที่ต้องเซ็นต์เสนอเข้าที่ประชุม ครม.ก็มีชะงักไปบ้าง

ขณะที่ ‘คนใหม่’ กำลังคืนบัลลังก์ ‘เบอร์ 1 ตึกนารีสโมสร’ เห็นว่า ‘คนเก่า’ ก็ดูลู่เลนถึงขั้นย้ายพรรคเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่แค่น้อยใจ แต่มันอยู่ไม่ได้ คดีเก่าที่เคยโหวกเหวกใส่หน้า ‘นายใหญ่’ ก็ยังจำกันได้แม่น

<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>> 

เปิดสาแหรก อธิบดี ‘เอ็ม’

ลูกนายแบงก์ หลานโฆษกวิทยุกรมประชาสัมพันธ์

ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นหมาดๆ   ชื่ออาจจะไม่คุ้นหู เพราะค่อนข้าง‘โลว์โปรไฟล์’  แต่คนในกระทรวงริมคลองหลอด ไม่แปลกใจเพราะรู้ว่าคนนี้ของจริง

ร.ต.ท. ภพชนก หรือ ผู้ว่าฯ เอ็ม จบจากวชิราวุธวิทยาลัย และสำเร็จปริญญาตรีจากรัฐศาสตร์ จุฬาฯ สิงห์ดำ 41 เริ่มงานปี 2554 ในตำแหน่งป้องกันจังหวัดจันทบุรี จากนั้นไปเป็นจ่าจังหวัดที่ระยอง และได้ขึ้นเป็นนายอำเภอเขาชะเมา ในปี 2557 เติบโตในสายงานการปกครองเรื่อยมา

จนต่อมาในปี 2564 ได้ดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมการปกครอง ก่อนที่จะย้ายไปเป็น ผู้ว่าฯ เพชรบุรี และล่าสุดมารับตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

อย่างที่เล่าว่า อธิบดีเอ็มนั้น เป็นพวก‘พูดน้อยต่อยหนัก’  ทำงานเงียบๆ นอกกระทรวงไม่ค่อยรู้จัก สื่อหลายแห่งเลยไปลงประวัติกันผิดๆ ว่าเป็นลูก ‘อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ ชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร ชลานุเคราะห์ ซึ่งชื่อนี้ ‘ไม่มีตัวตนจริง’  อธิบดีเอ็ม ก็งงๆอยู่ว่า ไปเอามาจากไหน

ที่จริง อธิบดีเอ็มเป็นลูกนายแบงก์ชื่อ ‘มิตรภาพ ชลานุเคราะห์’  อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในยุคที่ ตระกูลรัตนรักษ์ ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

อธิบดีเอ็ม เป็นหลานปู่ของ ‘นายแม่น ชลานุเคราะห์’ บุตรชาย พระยาชลธารวินิจฉัย และคุณหญิงชื้น ชลานุเคราะห์ 

นายแม่นเป็น อดีตโฆษกวิทยุกรมประชาสัมพันธ์  ที่คนไทยก่อนหน้าปี 2500  ไม่คุ้นหน้า แต่คุ้นเสียง เพราะเป็นเสียงแห่งความหวังคือเป็น ‘ผู้ประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล’  

และเป็นเสียงสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยเพราะเป็น ‘ผู้อ่านประกาศคณะปฏิวัติยุคแรกๆ’ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 

ก่อนที่นายอาคม มกรานนนท์จะเข้ามารับหน้าที่ต่อหลังจากนายแม่น เกษียณ

<<<<<<<>>>>>>>>> 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์