เรื่องมันมีอยู่ว่า ไม่มีอะไรที่กล้าธรรมบอกว่าทำไม่ได้ แต่เรื่องจริงทำสำเร็จหรือไม่ ต้องไปวัดดวงเอา <> ที่ดินเขากระโดง อาณาจักรเจ้าปัญหา ใช้อธิบดีกรมที่ดินสิ้นเปลือง ช่วง 2 ปี ใช้ไป 3 คน<>เอฟซีประชาธิปัตย์ เห็นการรวมตัวของสมาชิกพรรคสายแท้ ก็เริ่มมีความหวัง เพราะอาจจะมีพรรคประชาธิปัตย์โคลนนิ่งออกมาให้ได้กรีดร้องกัน <> พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
กล้าธรรม-กล้าทวง-กล้าทิ้ง?
พลันที่ ‘ไผ่ ลิกค์’ สส.กำแพงเพชร เลขาธิการพรรคกล้าธรรม โพสต์ข้อความ ‘ขอโอกาสพรรคกล้าธรรมแสดงผลงานในฐานะรองประธานสภา’ หลังรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย ค่ายเพื่อไทย ‘ตกเก้าอี้’ จากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งสส.หลัง ‘ไม่ดูตาม้าตาเรือ’ ล้วงลูกดึงงบประมาณลงพื้นที่ตัวเอง อันเป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144

ก็เกิดเสียงตอบรับทำนอง ‘ขัดหู’ จาก ‘บิ๊กบอย’ สรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เลขาธิการพรรคเพื่อไทยว่า ‘งงเหมือนกันว่าทำไมเลขากล้าธรรมไปโพสต์อย่างนั้น คิดว่าโควต้าน่าจะเป็นของเพื่อไทย ความจริงต้องเป็นอย่างนั้น’
ลิ้นกับฟันกระทบกันมันเรื่องธรรมดาทางการเมืองไทย แต่สำหรับ ‘กล้าธรรม’ ซึ่งถูกมองมาตลอดว่าเป็น ‘สาขาย่อย’ ของพรรคเพื่อไทย เหตุไฉนถึงขอเก้าอี้ผ่านอากาศ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ ‘จับเข่า’ คุยกันซักคำ
กล้าธรรม พรรคอันดับ 3 ยามนี้อารมณ์ไม่ต่างจาก ‘ลูกเมียน้อย’ มีเก้าอี้การเมืองว่างเมื่อไร มักจะถูก ‘ลูกเมียหลวง’ แย่งไปเชยชมซะทุกที
หรือจะเป็นเพราะ ‘กระแสข่าว’ การพบกันทางการเมืองแบบ ‘คบทุกพรรค รักทุกพวก’ ของแกนนำ กล้าธรรมบางคนระดับคีย์แมน กับพรรคสีน้ำเงิน เริ่มเล็ดลอดไปสู่การรับรู้ของแกนนำเพื่อไทย โดยปลายทางอยู่ที่การ ‘สลับขั้ว’ หากพรรคเพื่อไทยอยู่ในสภาพ ‘ผีหัวขาด’ ที่ถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆวันนี้
หวังจะสร้างอำนาจ ‘ต่อรอง’ ทางการเมืองหรือจะสร้าง ‘เงื่อนไข’ เพื่อใช้เป็นเหตุผลหนึ่ง ในวันที่ ‘คำพิพากษา’ มาถึงหรือไม่นั้น มิอาจทราบได้ แต่รู้แน่ๆว่า ‘กล้าธรรม’ ชั่วโมงนี้ หาใช่พรรคฟันน้ำนมอีกต่อไป
กล้าธรรม ณ วันนี้ นอกจาก‘ยืนได้’ มีเสื้อทางการเมืองใส่เป็นของตัวเองแล้ว ยังออกลูก ‘กล้าทวง’ ดีไม่ดี ‘อู้คำเมือง’ กันไม่เข้าหู ระวัง ‘กล้าธรรม’ จะกลายเป็นพรรค ‘กล้าทิ้ง’ นะจะบอกให้
<<<<<<>>>>>>>
อาถรรพ์ที่ดินเขากระโดง
เปลี่ยนอธิบดีที่ดิน 2 ปี 3 คน
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 สิงหาคม เห็นชอบการแต่งตั้ง โยกย้าย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงมหาดไทย หลายตำแหน่ง
หนึ่งในนั้นคือ ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ที่โยกพ่อเมืองแปดริ้ว ขจรเกียรติ รักพานิชมณี มาแทน พรพจน์ เพ็ญพาส ที่สมัครใจขอ‘สละ’ เก้าอี้กลับไปเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม

นับเป็นการเปลี่ยนอธิบดีคนที่ 3 ในชั่วเวลาไม่ถึง 2 ปี ด้วยเหตุจาก การทวงคืน ‘ที่ดินเขากระโดง’ จากตระกูลชิดชอบ
คนแรกคือ ชยาวุธ จันทร ที่ขอลาออกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ก่อนเกษียณ 1 ปี ด้วยเหตุผลว่า ไปดูแลสุขภาพของตัวเองและภรรยา แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยว่า ลาออกเพื่อ‘หนีภัย’ เขากระโดง
ก่อนหน้านั้น ไม่กี่เดือนกรมที่ดินและตัวอธิบดีเพิ่ง ‘แพ้คดี’ ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ฟ้องศาลปกครองให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง ที่ศาลฏีกามีคำพิพากษาตั้งแต่ปี 2563ว่า เป็นที่ดินของการรถไฟ ฯ โดยศาลปกครองสั่งให้อธิบกรมที่ดินใช้อำนาจตามาตรา 61 ตรวจสอบที่ดินในบริเวณดังกล่าว และทำการ‘เพิกถอน’ เอกสารสิทธิ เพื่อให้ที่ดินกลับไปเป็นของการรถไฟฯ
อธิบดีชยาวุธอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ จะทำให้ถูกต้องตามตามคำสั่งศาลปกครองก็เกรงใจเจ้ากระทรวง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวน้าพรรคภูมิใจไทย และชาดา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ดีไม่ดีแค่คิดก็มิสิทธิ ‘โดนเด้ง’ ออกจากกรม
จะไม่ทำเพื่อความอยู่รอด ก็ละอายแก่ใจ และเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
สุดท้ายเลยตัดสินใจลาออก เพราะไหนๆก็เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว
อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ พรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ย้ายมากินตำแหน่งแทนในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อีก 9 เดือนต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบ ตามาตรา 61 ที่อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้ง มีมติเอกฉันท์ ‘ไม่เพิกถอน’ ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ที่มีผู้ครอบครอง 995 ราย รวมทั้งภรรยา ลูกชาย ลูกสาว พี่น้อง ของเนวิน ชิดชอบ ที่ครอบครองที่ดินอยู่ประมาณ 280 ไร่ เพราะการรถไฟฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวได้
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ศาลฏีกา 2 ศาล และศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าของที่ดินเขากระโดง
คำพิพากษาศาลฏีกาใช้บังคับกับผู้ครอบครองที่ดิน 995 รายไม่ได้ เพราะไม่ใช่คู่ความในคดี แต่การรถไฟฯ สามารถนำคำวินิจฉัยที่ว่า ที่ดิน 5,083 ไร่ เป็นของการรถไฟฯ ไปยันกับผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ โดยผู้ครอบครอง ‘ต้องพิสูจน์’ ให้ได้ว่า ตัวเองมีสิทธิเหนือกว่าการรถไฟฯ
การรถไฟฯ ต้องให้อธิบดีกรมที่ดิน ‘ออกคำสั่ง’ เพิกถอน เพราะอธิบดีกรมที่ดินคือผู้มีอำนาจในการเพิกถอนเอกสาร เมื่อกรมที่ดิน ไม่ยอมเพิกถอน ตามคำขอของการรถไฟ ฯ จึงกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐที่ต้องฟ้องศาลปกครอง
แม้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ โดยให้ตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 เพื่อตรวจสอบขอบเขตที่ชัดเจนของที่ดินที่จะต้องถูกเพิกถอน แต่เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบที่แต่งตั้งโดยอธิบดีกรมที่ดิน มีมติ ‘สวนทาง’ กับศาลฎีกาปละศาลปกครอง ก็ดูเหมือนว่าการรถไฟฯ จะต้องเป็นผู้แพ้
แต่แล้วการถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ทำให้กระทรวงมหาดไทยไปอยู่ในความควบคุมของพรรคเพื่อไทยที่ภูมิธรรม เวชยชัย ได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
โดยมีภารกิจสำคัญคือ ‘ล้างบาง’ เครือข่ายภูมิใจไทยในกระทรวง และภารกิจเร่งด่วน ทำทันทีคือ ‘ยึดที่ดิน’ เขากระโดง ที่เป็นอาณาจักรการกีฬาของเนวิน ชิดชอบ กลับคืนมาเป็นของการรถไฟฯ
อธิบดีพรพจน์ที่ ‘ทุ่มสุดตัว’ ในการพิทักษ์ที่ดินเขากระโดงให้กับตระกูลชิดชอบ รู้ชะตากรรมตัวเองดี จึงชิงขอลาออกจากอธิบดีกรมที่ดินเสียเอง ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถูกย้าย
<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>
โรงเรียนการเมือง‘ชวน หลีกภัย’
วันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ห้องออดิทอเรียม อาคารบางกอกทาวเวอร์ ของบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เนืองแน่นไปด้วย คนการเมือง ‘ค่ายสีฟ้า’ เหลือบซ้ายแลขวา ก็ล้วนเป็นแฟนคลับ เป็นคนร่วมงานการเมือง เป็นอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนั้น
แต่ลงลึกไปอีก ทั้งหมดล้วนเป็นคน ‘ใกล้ชิด’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 20 นามว่า ชวน หลีกภัย
ชื่องาน ‘มิตรภาพสัมพันธ์’ จัดเป็นกันเองลักษณะ เสวนาเล่าสู่กันฟัง หัวข้อ ‘เรื่องเล่าจากภาพถ่าย ภารกิจประวัติศาสตร์ด้านการต่างประเทศ’ โดยหยิบมาจากหนังสือ ‘มิตร-ภาพ’ ของนายหัวชวน
ศิษย์เก่า ศิษย์รัก นั่งกันแน่นห้อง แน่นอน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันนั่งเก้าอี้ รองประธานสหพัฒน์ ในฐานะเจ้าบ้านต้องปรากฎตัว ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผอ.องค์การการค้าโลก อดีตรองนายกและรมว.พาณิชย์ ก็มา หรือแม้แต่ ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค อดีตรมต.ประจำสำนักฯ ซึ่งนานๆจะออกงานสักที ก็ยังไม่พลาด

ยังไม่นับศิษย์เก่าประเภทมือทำงานการเมืองแบบประชาธิปัตย์ขนานแท้ อย่าง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย, สาธิต ปิตุเตชะ,ถาวร เสนเนียม,ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์, นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ,รังสิมา รอดรัศมี,ศิริโชค โสภา, ธีระ สลักเพชร,คุณหญิงกัลยาโสภณพนิช ฯลฯ
ถามว่าแล้วศิษย์ปัจจุบันไปไหน เพราะทั้งงานเห็นแต่ ‘รองญัติ’ บัญญัติ บรรทัดฐาน แค่คนเดียว
แม้จะเป็นผลงานในอดีต เป็นความสำเร็จอันหอมหวานครั้งหนหลัง แต่ธรรมชาติการเมือง ยามคนการเมืองมาเจอกัน ไม่คุยการเมืองกันคงเป็นเรื่องประหลาด
อนาคตประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน,อนาคตรัฐบาลยุค ‘เสมียนประเทศ’ ,อนาคตต่อการแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา,อนาคตเศรษฐกิจไทย ที่กำลังหายใจแผ่วๆ ล้วนเป็นหัวข้อในการสุมหัวทั้งสิ้น
เห็นรวมกันตามแบบฉบับคนจบโรงเรียนการเมืองที่ชื่อ ‘ชวน หลีกภัย’ อย่างนี้ เชื่อซิว่า ในเร็วๆวันนี้ต้องมี ‘พรรคการเมืองใหม่’ เกิดขึ้นมาแน่ๆได้ยินว่า จะเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ยันเงา
เพียงแต่ไม่ได้ใช้ชื่อ ‘ประชาธิปัตย์’ เท่านั้นเองครับพี่น้อง
<<<<<>>>>>>>>