เรื่องมันมีอยู่ว่า มีเวลา 4 เดือนมีอะไรต้องโชว์ก็ต้องทำกันช่วงนี้ สายล่อฟ้าอย่างผู้กองธรรมนัสก็มีเคสอธิบดีขู่ได้ มาแข่งกับผู้ว่า ฯ สั่งได้ <> ศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญ สะท้อนให้เห็นไม่มีสัจจะในการเมือง ยกแรกส้มบวกแดง ดับซ่าน้ำเงิน รอดูลูกเอาคืน <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
‘สายล่อฟ้า’ที่ชื่อ‘ผู้กองยอดรัก’
กับวลีเด็ด‘ผมขาดลูกน้องไม่ได้’
ระหว่างเป็นประธานเปิดงานและมอบนโยบาย ‘การขับเคลื่อนสหกรณ์ภาคการเกษตรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร’ ผู้กองยอดรัก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตร กล่าวระหว่างเปิดงานช่วงหนึ่งด้วยการ‘ถามหา’ อธิบดีกรมการข้าว เมื่อทราบว่าได้ส่งรองอธิบดีมาฟังแทน ว่า
‘วันหลังถ้ามีงานสำคัญอย่างนี้ อธิบดีโปรดอย่าขาด โปรดอย่าขาด ฟังอีกครั้ง ถ้าขาดบ่อย ๆ ชีวิตท่านจะขาดด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ขู่ ตั้งมาแล้วต้องทำงาน ไม่ใช่ไม่สนใจสิ่งที่รัฐมนตรีมอบหมาย เวลาที่พูดใส่อารมณ์นี่โมโหนะ หันไปหาแล้ว ไม่เห็นใครนี่ โมโหทุกครั้ง เป็นคนขาดลูกน้องไม่ได้’
ปัจจุบัน อธิบดีกรมการข้าว ชื่อ ‘อานนท์ นนทรีย์’ ซึ่งป่านนี้คงเกิด อาการ ‘ร้อนหนาว’ ไข้ขึ้นมาเป็นแน่ เพราะมีไม่บ่อยนักชนิดถึงขั้น ‘หายาก’ ที่ รัฐมนตรีจะ ‘ขู่ออกอากาศ’ อย่างนี้

ความเดิมครั้งผู้ว่าราชการจังหวัดต้อง ‘สั่งได้’ ที่จ.เชียงราย ยังไม่ทัน ‘จางหาย’ ก็มาเกิด‘อธิบดีขู่ได้’ ขึ้นซะอีก
สื่อหลายฉบับบอกว่าผู้กองยอดรักนั้นเป็นโรค ‘ขาดลูกน้องไม่ได้’ น่าสนใจให้ ‘ผู้คน’ได้วินิจฉัยร่วมกันว่า โรคนี้นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร หวังว่าคง ‘ไม่น่า’ จะเกิดจากการ ‘เสพอำนาจ’ ที่มากเกินไปเป็นแน่
ตามธรรมชาติฤดูที่เรียกว่า ‘ปลายฝนต้นหนาว’ กำลังจะเกิด การเมืองก็เช่นกัน ปลายเดือนตุลาคมนี้ จะปิดสมัยประชุมฤดูฝน เปิดเทอมอีกทีก็ราวๆ 12 ธันวาคม ซึ่งก็คือฤดูหนาว ‘เชื่อเหลือเกิน’ ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้น
โดยรอบนี้จะไม่หวังการเปลี่ยนแปลงในพรรคร่วมรัฐบาล แต่จะเป็นแบบ ‘ฝากรอยแผล ฝากรอยเท้า’ ไว้ใช้เป็น ‘สารตั้งต้น’ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งงานนี้จะมี ‘ผู้กองยอดรัก’ เป็นพระเอกของเรื่อง เขียนชื่อแปะข้างฝาได้เลย
<<<<>>>>>>
ศึกแก้ไขรธน.‘3 ก๊ก’ฟัดกันหนัก
ยก1 ส้มจับมือแดง‘ชนะ’ น้ำเงิน
หลังใช้เวลา 2 วัน (14-15 ตุลาคม)ในที่สุด ที่ประชุมร่วมรัฐสภาก็ ‘รับหลักการ’ ในวาระที่1 ไปเป็นที่เรียบร้อย แต่เป็นความเรียบร้อย ท่ามกลางการ ‘หักเหลี่ยมเฉือนคม’ กันใน3ก๊ก ที่ประกอบด้วยพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน
ก็อย่างที่รู้กันจากกระแสข่าวว่า เดิมที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะรับทั้ง 3 ร่างของทั้ง 3 พรรคไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ แต่ไปๆมาๆ กลับเกิดอาการ ‘เบี้ยว’ กันเกิดขึ้นเพราะจู่ ๆ ก็ ‘ไม่รับหลักการ’ ร่างของพรรคเพื่อไทย แต่รับหลักการไว้เฉพาะร่างของพรรคภูมิใจไทยกับร่างของพรรคประชาชน นั่นคือ ปรากฎการณ์เริ่มต้นของการ‘ปล่อยหมัด’
จากนั้นก็เกิดการ ‘ออกอาวุธทางการเมือง’ โดยเริ่มจากการใช้มติจากที่ประชุมว่า จะใช้ร่างของพรรคส้มหรือพรรคน้ำเงินเป็น ‘ร่างหลัก’ ในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการซึ่งจะมีจำนวน 43 คน
ปรากฎว่าผลการลงมติ ‘รอบแรก’ เสียงข้างมากให้ใช้ ‘ร่างสีน้ำเงิน’ เป็นร่างหลัก แต่พรรคส้มได้ท้วงติงให้ขอให้ ‘นับคะแนนใหม่’ ปรากฎว่า ‘เกมพลิก’ เสียงข้างมากให้ใช้ ร่างของพรรคส้มเป็น ‘ร่างหลัก’
เท่ากับว่า พรรคสีน้ำเงินซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วมี ส.ว.ส่วนใหญ่สนับสนุน กลับ ‘เสียที’ให้พรรคฝ่ายแค้น ฝ่ายค้ำ สรุปก็คือ ‘ยกที่ 1’ พรรคส้มชนะไปภายใต้การเทคะแนนของพรรคแดง
ขณะที่ ‘ยกที่ 2’ คงจะเริ่มต้นกันที่การเลือก ‘ประธาน’ คณะกรรมาธิการซึ่ง ‘หวย’ น่าจะออกที่พรรคส้ม ซึ่งทั้งหมดเป็น MOA ที่ตกลงกัน ท่ามกลางปรากฎการณ์ ‘คมเฉือนคม’
อย่างที่หลายฝ่ายประเมินกัน การแก้ไขรธน.แต่ละครั้งนั้น ‘ไม่ง่าย’ ยิ่งครั้งนี้ แม้จะเป็น ‘รายมาตรา’แต่ปลายทางคือการแก้ไขรธน.ทั้งฉบับ ถึงตอนนี้ยังเร็วไปที่หาข้อสรุป เพราะ ‘อุปสรรค’ ยังมีอีกหลายด่าน
ล่าสุดคณะรวมพลังแผ่นดินเพื่อปกป้องอธิปไตย ออมาประกาศ ‘เสียงดังฟังชัด’ แล้วว่า จะค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘ทั้งฉบับ’ อย่างถึงที่สุด หมายความว่า หากมีการทำ ‘ประชามติ’ เกิดขึ้น
จะเป็นแบบ ‘1 คำถาม’ หรือ ‘2 คำถาม’ ก็ตาม จะรณรงค์ประชาชนให้ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการแก้ไขทั้งฉบับหรือจะใช้คำว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯเสนอไว้ก็ตาม
ในสภาก็ ‘ฟัดกันหนี’ นอกสภาก็เริ่มจะ ‘ตั้งป้อมคัดค้าน’ งานนี้จะหมู่หรือจะจ่า ดูไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ


