เรื่องมันมีอยู่ แม้จะมีหล่อคืนรัง มาปลุกกระแสประชาธิปัตย์ แต่นักการเมืองรุ่นเก่า บัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค แสดงจุดยืนไม่ไปต่อ ขอยุติบทบาทในวัย 83 ปี <> พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษา ผบ.ทบ.และอดีตมทภ.2 กับข้อความโดนใจ ฆ่าน้อง-ฟ้องนาย-ขายเพื่อน เพื่อให้องค์กรไปต่อได้ <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
เมื่อ‘บัญญัติ บรรทัดฐาน’ไม่ไปต่อ
ปิดฉาก ‘บัญญัติ10 ประการ’
วันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ทำการ‘ปิดรับสมัคร’ไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับโครงการ ‘สส.ที่ดี คุณก็เป็นได้’ ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ ‘หล่อรีเทิร์น’ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค
โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคือการเฟ้นหาผู้ที่สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อสร้างการเมืองสุจริตและโปร่งใส ตามแนวทางของพรรคการเมืองค่ายสีฟ้า นอกจากคนใหม่ที่จะเข้ามา คนเก่าก็ ‘ต้องแสดงความประสงค์’ด้วย
ในบรรดา ‘3 หัวหน้าพรรค’ มีเพียง ชวน หลีกภัย กับ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เท่านั้นที่ส่งใบสมัคร ขณะที่ ‘หัวหน้าญัติ’ หรือ บัญญัติ บรรทัดฐาน กลับไม่ได้ส่งใบสมัครแจงความจำนงจะไปต่อแต่อย่างใด

บัญญัติ บรรทัดฐาน หรือที่คนในพรรคมักเรียกกันว่า ‘รองญัติ’ นั้น เริ่มต้นชีวิตการเมืองตั้งแต่ปี 2519 แจ้งเกิดเป็น สส. สมัยแรกที่ บ้านเกิด อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน ‘รองญัติ’ อายุ 83ปี (เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2485)
เส้นทางการเมือง ‘รองญัติ’ นั้นในทางการเมืองเขาเรียกกันว่า เป็นสส.นามสกุลเดียว หมายความว่า ตั้งแต่เล่นการเมืองจนกระทั่งไม่ไปต่อ ‘รองญัติ’ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์พียงพรรคเดียว
‘รองญัติ’ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความนิยมทางการเมืองในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด ผ่านเก้าอี้รัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ตำแหน่งสูงสุดคือ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย
ที่เรียกว่า ‘รองญัติ’ เพราะเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปี 2546 จึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค หลังจากชวน หลีกภัย หมดวาระไป และไม่ประสงค์จะดำรงตำแหน่งต่อ ‘รองญัติ’ ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 เมื่อพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ถือเป็นนักการเมืองที่‘พูดคำไหนคำนั้น’ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในการเมืองปัจจุบัน
สำหรับฉายาที่เรียกกันในวงการข่าวการเมืองที่ว่า ‘บัญญัติ 10 ประการ’ นั้นน่าจะเนื่องจากมักพูดหรือให้สัมภาษณ์ติดคำว่า ‘ประการแรก’ ตามมาด้วย ‘ประการต่อไป’ และ ‘ประการสำคัญ’ ตบท้ายด้วย ‘ประการสุดท้าย’
ครั้งสุดท้ายที่ ‘รองญัติ’ ให้สัมภาษณ์คือ ครั้งที่มีการเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในกรณี ‘คลิปลุงหลาน’ อันโด่งดัง แต่กก.บห.ของพรรคในขณะนั้น ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ ดันทุรังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป
ถือเป็นอีกนักการเมืองที่มีสไตล์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ ‘นักการเมือง’ รุ่นหลัง-รุ่นหลานควรจะต้องศึกษาไว้
<<<<<<>>>>>>
‘ไม่’ฆ่าน้อง-ฟ้องนาย-ขายเพื่อน
‘แม่ทัพกุ้ง’ชี้ถ้า‘ไม่ฆ่า’องค์กรพัง
‘คำพูดนี้อยู่ในโรงเรียนทหารหรือตำรวจก็มี เป็นคำพูดของนักรบที่ใช้ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ผมเองมองว่าอยู่ที่การกระทำของนาย อยู่ที่พฤติกรรมของเพื่อน และอยู่ที่พฤติกรรมของน้องมากกว่า บางอย่างไม่ฆ่าก็ไม่ได้ เพราะน้องทำผิด บางอย่างไม่ฟ้องนายก็ไม่ได้ เพราะว่านายทำผิด อันตรายมาก ถ้านายทำอย่างนี้ต่อไปองค์กรพัง เราจะก้มหน้าก้มตารับกรรมอย่างนี้หรือ’
เป็นช่วงหนึ่งที่ ‘แม่ทัพกุ้ง’ หรือ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษา ผบ.ทบ.และอดีต มทภ.2 ตอบตำถามระหว่างการร่วมงาน วันต่อต้านการคอร์รับชั่นสากล ที่กรมราชทัณฑ์ โดยมีพ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานงาน

เวลานี้ ‘กรมราชทัณฑ์’ กลายเป็น‘หมู่บ้านกระสุนตก’ จากข่าวฉาวโฉ่ ‘คุกวีไอพี’ ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ ยิ่งขุดคุ้ย-ยิ่งสอบสวน ก็ยิ่งอื้อฉาว ชนิดที่งานนี้ถ้าไม่ ‘ล้างบาง’ กันให้สิ้นซาก สังคมไทยจะตกอยู่ในสภาพวังเวงสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง
ประโยคที่ว่า ‘ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน’ นั้นเป็นคติพจน์ประจำตัวของ ‘บิ๊กจ๊อด’ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามีบุคลิกโผงผาง แต่มีความจริงใจ
พล.อ.สุนทร หรือที่คนส่วนมากเรียกว่า ‘นายพลเสื้อคับ’ นั้นเป็นที่รับรู้กันในฐานะ ‘หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ’ หรือรสช.ซึ่งได้ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย ในเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 ซึ่งนับเป็นการยึดอำนาจที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกในรอบ 13 ปีของกองทัพ
บทบาทของพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ลดลงหลังเกษียณอายุราชการในปี 2534 และตามมาด้วยเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ในปี 2535 ‘บทบาท’ ของพล.อ.สุทรก็ลดลงก่อนจะถึงแก่กรรมในปี 2542
ในอดีต ‘ประโยคนี้’ อาจจะสอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน และยิ่งกับกรมราชทัณฑ์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องความหมายที่เปลี่ยนไป
ว่าแต่ว่า ‘งานนี้’ ไม่น่าจะ ‘งามไส้’ แค่คุก แค่กรมคุก แต่จะ ‘ยาวใหญ่’ ไปถึงต้นสังกัดอย่างกระทรวงยุติธรรมด้วยนะ จะบอกให้


