เรื่องมันมีอยู่ว่า นโยบายของรัฐบาลเรื่องอบายมุขยังสับสน ให้ไพ่โป๊กเกอร์กลับไปเป็นการพนันตามเดิม แต่กำลังจะเลิกคุมเวลาขายเหล้า เบียร์ และขยายเวลาสถานบันเทิง ด้วยเหตุผลกระตุ้นเศรษฐกิจ <> ก่อนจะแต่งตั้งวรภัค ธันยาวงษ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยคลังก็มีเสียงทักท้วง แต่สุดท้ายไปต่อไม่ไหว ถูกต้านจากทุกฝ่าย ในที่สุดรัฐมนตรีช่วยมาเร็ว ไปเร็วก็เกิดขึ้น <>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
‘อนุทิน’จ่อเลิกตี4โซนนิ่งน้ำเมา
ปล่อยผีอบายมุขปลุกเศรษฐกิจ
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีในฐานะ รมว.มหาดไทย เพิ่งเซ็น ‘ยกเลิก’ มติ ครม. แพทองธารที่ให้โป๊กเกอร์กลับไปเป็นกีฬา สดๆร้อนๆ แต่ยังไม่ทันไร กลับกลายเป็นว่า รัฐบาลอนุทิน กำลังจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะมีข่าวว่าอนุทิน จ่อที่จะเลิกโซนนิ่งเหล้าทั่วประเทศ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ในที่ประชุมครม.นายอนุทิน ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมหารือเพื่อ ‘ยกเลิก’ การ ‘โซนนิ่ง’พื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เปิดกว้างขายได้ทั่วประเทศ และขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง เวลา 04.00 น. จากปัจจุบันเปิดให้บริการได้ถึง 02.00 น. และผ่อนคลายข้อห้ามขายช่วงเวลาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 14.00 น.-17.00 น. โดยมีเป้าหมายให้สามารถดำเนินการได้ทันทีภายในเดือน มกราคม 2569
ข่าวระบุว่า จะมีการปรับเงื่อนไขสำหรับสถานบริการให้มีความสะดวกมากขึ้น จากเดิมที่ต้องขอใบอนุญาตสถานบริการ เปลี่ยนเป็นขึ้นทะเบียนสถานบริการเท่านั้น คาดว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นราว 500,000 ล้านบาท ซึ่งยกเลิกพื้นที่โซนนิ่งขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องแก้กฎกระทวงของ มท. และเครื่องดื่มที่จำหน่ายก็อยู่ภายใต้การกำกับของ สธ.
ตามข้อมูลระบุว่า ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิด-ปิดสถานบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2566 ขยายเวลาให้สถานบริการใน 4 จังหวัด 1 อำเภอ เปิดให้บริการได้ถึงเวลา 04.00 น.
ประกอบด้วยสถานบริการในท้องที่กรุงเทพมหานคร, จ.ภูเก็ต, จ.ชลบุรี, จ.เชียงใหม่ และท้องที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงสถานบริการที่ตั้งอยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมทั่วประเทศ
ส่วนในพื้นที่ กทม.นั้นมีสถานบริการที่สามารถขยายเวลาเปิดตามกฎกระทรวงได้ อยู่ในโซนนิ่ง 3 โซน ได้แก่ สีลม, พัฒน์พงศ์, อาร์ซีเอ เพชรบุรีตัดใหม่ และรัชดาภิเษก
มีข้อมูลระบุอีกว่า มีกลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตสถานประกอบการ ที่มีใบขออนุญาตสถานบริการ 207 แห่งใน 33 เขต โดยอยู่ในพื้นที่โซนนิ่ง 73 แห่ง เป็นสถานบริการที่อยู่ในโรงแรม 8 แห่ง, อยู่นอกพื้นที่โซนนิ่ง 134 แห่ง เป็นสถานบริการที่อยู่ในโรงแรม 24 แห่ง
กรณี ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00 น.-17.00 น.เป็นข้อเสนอที่มีมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่บรรลุความสำเร็จเท่านั้น ส่วนการกำหนด ‘โซนนิ่ง’ ที่จะมีการ ‘ปล่อยผี’ ทั่วประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ‘สุ่มเสี่ยง’ อย่างยิ่งที่จะเกิดปัญหา ‘สังคม’ ตามมา แม้รัฐบาลจะอ้างเป้าหมายที่ปากท้องของคนก็ตาม
ถือเป็นอีก ‘1 นโบายสำคัญ’ หากรัฐบาล ‘เดอะหนู’ จะไฟเขียว งานนี้เรียกแขกกันได้ง่ายเลยนะ
<<<<<<>>>>>>>
‘ฝ่ายค้ำ’กำลังกลายเป็น‘ฝ่ายขู่’
‘ไม่ไว้วางใจ’ของแสลง‘อนุทิน’
ปฎิบัติการ ‘ตัดไฟแต่ต้นลม’ เกิดขึ้นจนได้ อันเนื่องมาจากการเข้าไป ‘พัวพัน’ กับกระบวนการ ‘สแกมเมอร์’ ทุนเทาของ วรภัค ธันยาวงษ์ ที่กลายเป็นอดีตรมช.คลัง นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล บอกชัดเจนว่า การปรับครม.จะไม่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลเหลืออายุการทำงาน ‘ไม่นานแล้ว’
พูดถึงการปราบปราม ‘สแกมเมอร์’ แม้รัฐบาลจะเร็ว ‘ทันท่วงที’ อย่างไร แต่ก็เสียรังวัดและถูกโจมตีเข้าจนได้ เพราะผู้ที่ถูกระบุว่า ‘เกี่ยวข้อง’ กับ ‘ทุนเทา’ ไม่ได้มีแต่ วรภัค คนเดียว

การ ‘กวาดล้าง’ ทุนเทา ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ขว้างงู ไม่พ้นคอ’ เพราะเจตนาของรัฐบาลหวังจะ ‘ทุบกล่องดวงใจ’ กัมพูชา แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นผู้เกี่ยวเนื่องในรัฐบาล กลับเข้าไปเกี่ยวข้องซะเอง แม้จะเป็นการ ‘ป้ายสี’ โดยมีพยานเชื่อมโยงบางส่วน
แค่นี้‘สังคม’ ก็เชื่อไปแล้วกว่าครึ่งว่า ‘ทุนเทา’ น่าจะเข้ามาเอี่ยวจริงๆ
ได้ยิน ‘ตัวตึง’ พรรคประชาชน พรรคการเมืองที่เซ็น MOA กับพรรคภูมิใจไทย อย่าง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุว่า
‘การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังอยู่ในเงื่อนไขการพิจารณาของฝ่ายค้าน หากรัฐบาลยังไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยเฉพาะหากพบหรือมีข้อสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวโยงในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย หรือการสนับสนุนการกระทำความผิด หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้สแกมเมอร์จากกัมพูชาอาละวาด และมาหาผลประโยชน์ในไทยอาจจะนำมาสู่การอภิปรายไม่วางใจ’
ใน MOA ไม่ได้ระบุไว้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่หากเป็นฝ่ายค้าน ‘มืออาชีพ’ มาตรการ ‘ซักฟอก’ จะต้องเกิดแน่ ยิ่งในช่วงของการชิงหาเสียงก่อนเกิดการ‘ยุบสภา’ ในสมัยประชุมหน้าซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม ฝ่ายค้านอย่าง พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน คงไม่ปล่อยให้‘โอกาส’ ได้หลุดลอยไป
ในสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รัฐบาลอนุทิน ได้ชิงเหลี่ยมไปแล้วก่อนหน้านี้ จากการให้อำนาจกองทัพในการจัดการชายแดน ตามมาด้วยการประกาศ จะ‘ยกเลิก’ MOU 43-44 แม้จะมีเสียงค้าน แต่รัฐบาลก็ยังไม่เสียทรง
การประกาศให้การกวาดล้าง ‘สแกมเมอร์’ เป็นวาระแห่งชาติ ทำไปทำมากลายเป็น ‘เข้าตัว’ รัฐบาลอย่างจัง รัฐบาลอนุทิน ที่อยู่ได้แค่ 22 วันกำลังเผชิญวิกฤตความน่าเชื่อถือเข้าอย่างจัง
ที่ว่ากันว่าแน่ ๆ ทำท่าจะ ‘ไม่แน่นอน’ เข้าซะแล้วนะโยม


