เรื่องมันมีอยู่ว่า กระทรวงพลังงานหลังยุคมืด ล้าง‘ดินพอกหางหมู’ของพีระพันธุ์ , ส่อง 2 สนามเลือกตั้งใหญ่‘บัตรเสีย’พุ่ง บัตร 4 ใบกับความเชื่อ‘คนไทยฉลาด’

1 ต.ค. 2568 - 23:45

  • รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ ถือว่ามีงานหนักมากกว่ากระทรวงอื่น

  • การสะสางงานที่อดีตรัฐมนตรีพลังงานต้องทำ แต่ไม่ทำ ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว

  • เลือกตั้งกาบัตร 4 ใบครั้งแรก หวั่นบัตรเสียพุ่งแต่มั่นใจคนไทยเก่ง

เรื่องมันมีอยู่ว่า กระทรวงพลังงานหลังยุคมืด  ล้าง‘ดินพอกหางหมู’ของพีระพันธุ์ , ส่อง 2 สนามเลือกตั้งใหญ่‘บัตรเสีย’พุ่ง บัตร 4 ใบกับความเชื่อ‘คนไทยฉลาด’

เรื่องมันมีอยู่ว่า  กระทรวงพลังงานรัฐบาลอนุทิน กำลังก้าวพ้นยุคมืดเสียที หลังให้อดีตรัฐมนตรีพลังงานพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคดูแล ไม่มีอะไรเป็นชิ้น เป็นอัน กลับคอยขัดขวางและดึงเรื่องอีก <>การเลือกตั้งด้วยบัตร 4 ใบ ท้าทายความสามารถคนไทย  แม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องบัตรพุ่งก็ตาม<>พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า

กระทรวงพลังงานหลังยุคมืด

ล้าง‘ดินพอกหางหมู’ของพีระพันธุ์

นโยบาย Quick Big Win  ด้านพลังงานที่‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  แถลงต่อรัฐสภา ไม่มีข้อไหนที่บอกว่า จะลดค่าน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ในช่วงระยะเวลา 4  เดือนก่อนยุบสภา

เพราะรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนนี้ ไม่ใช่‘นักการเมือง’

แต่มาจากผู้บริหารธุรกิจพลังงาน จึงไม่เอาเรื่องพลังงานมาเป็นนโยบายประชานิยมหาเสียงกับประชาชน โดยไม่สนใจว่าทำได้จริงหรือไม่  หรือถ้าทำแล้ว จะเกิดผลกระทบอย่างไร

เพราะประเทศไทย ต้องพึ่งพาการ ‘นำเข้าพลังงาน’ จากต่างประเทศ  ราคาพลังงานทั้งน้ำมัน และไฟฟ้า จึงควรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง  ขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซในตลาดโลก ไม่ใช่ตาม‘ความต้องการหาเสียง’กับประชาชน

กระทรวงพลังงาน ในช่วง 2  ปีที่ผ่านมาที่มี ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’  เป็นรัฐมนตรี เป็น ‘ยุคมืด’ โดยแท้จริง ไม่มีนโยบายด้านพลังงานออกมา  นโยบายเดิมที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา วางไว้  นอกจากจะไม่ได้รับการสานต่อ ยังถูกขัดขวางจาก พีระพันธุ์ ที่อ้างว่า เป็น ‘DNAลุงตู่’

นโยบาย QUICK BIG WIN  ของอรรถพลนั้น  จริงๆแล้ว ก็คือการ‘สานต่อ’ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านพลังงาน  เพื่อก้าวไปสู่ NET ZERO 2050 ที่กระทรวงพลังงานในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์วางเอาไว้นั่นแหละ   แต่ถูกพีระพันธ์ขัดขวาง ดึงเรื่อง  ไม่ทำต่อ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้มีไอเดียอะไรใหม่ๆ มานำเสนอ มีแต่ ‘กำลังร่างกฎหมาย’ อยู่

วันนี้กระทรวงพลังงาน พ้นจากยุคมืดของพีระพันธุ์ เข้าสู่ยุคใหม่ ภายใต้รัฐมนตรีที่รู้เรื่องพลังงานดี มีมนุษยสัมพันธ์กับคนรอบตัว  ให้เกียรติ รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชา

แต่นโยบาย QUICK BIG WIN  จะเป็นจริงได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีภารกิจเร่งด่วน คือการชำระสะสาง ‘ดินพอกหางหมู’  ที่พีระพันธุ์ซุกไว้  เพื่อให้กลไกการผลักดันนโยบาย ที่พีระพันธุ์ ‘ดอง’ ไว้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

อดีตรัฐมนตรีพลังงานพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทิ้งภาระให้กับรัฐมนตรีคนใหม่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่ควรทำ ถูกดอง ถูกดึงเอาไว้ จนเป็นปัญหาต่อเนื่อง
อดีตรัฐมนตรีพลังงานพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทิ้งภาระให้กับรัฐมนตรีคนใหม่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่ควรทำ ถูกดอง ถูกดึงเอาไว้ จนเป็นปัญหาต่อเนื่อง

เรื่องแรกเลย คือ ‘การสรรหา’ และแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( กกพ. ) 4  คน จาก 7  คนที่หมดวาระไป ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว

พีระพันธุ์ เคยเสนอแต่งตั้ง คณะกรรมการสรรหา กกพ. ใหม่ และได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้ว แต่กลับเซ็นคำสั่ง‘ยกเลิก’  โดยอ้างว่า กรรมการสรรหาบางคนมีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจพลังงาน  ตามข้อมูลของพรรคประชาชน โดยไม่ได้สอบถามความเห็นของผู้บริหารกระทรวงพลังงานเลย

ถึงแม้คณะกรรมการกฤษฎีกาว่า จะวินิจฉัยว่า การมีส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าว ‘ไม่เป็นคุณสมบัติต้องห้าม’ ของกรรมการสรรหา กกพ.  แต่พีระพันธุ์ก็ไม่ทำอะไรต่อ  ไปออกประกาศให้มีการสรรหา กกพ.  ซ้ำ ตอนปลายเดือน เมษายนปีนี้ หลังจากนั้นก็เงียบหายไปจนถึงปัจจุบัน

นโยบาย  QUICK BIG WIN  เรื่องโซลาร์ภาคประชาชน  ต้องตั้งต้นที่ กกพ.   ตั้งแต่การประกาศหลักเกณฑ์ ราคารับซื้อ   ระยะเวลาในการดำเนินการ

เรื่องที่ 2   คือการแต่งตั้ง ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตคนใหม่ ที่บอร์ด กฟผ.  มีมติเสนอชื่อ ‘นรินทร์ เผ่าวณิช’ เป็นผู้ว่า กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 25  มิถุนายน แต่ก็ถูกพีระพันธุ์ ดองเรื่องเอาไว้ ไม่ยอมเสนอชื่อ เข้า ครม.  จนผู้ว่า ฯ คนเดิมเกษียณไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม  กฟผ. ก็ยังไม่มีผู้ว่า ฯ คนใหม่

เรื่องที่ 3   การรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 2,145  เมกะวัตต์ ที่ กกพ. ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก 72 ราย ตั้งแต่วันที่ 16  ธันวาคมปีที่แล้ว แต่พีระพันธุ์สั่งระงับ ตามข้อมูลที่พรรคประชชนนำเสนอ โดย ‘ไม่เคยสอบถาม’ กกพ. หรือ ผู้บริหารกระทรวงพลังงานเลย

การรับซื้อ พลังงานหมุนเวียน 2,145 เมกะวัตต์ที่พีระพันธุ์ขวาง ก็คือส่วนหนึ่งของ QUICK BIG WIN  เรื่องการจัดหาพลังงานสะอาดให้ภาคอุตสาหกรรม และการก้าวสู่ Net Zero  2050

เรื่องที่ 4   การทำแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ PDP ฉบับใหม่ ซึ่งควรจะเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่พีระพันธุ์ เพิ่งจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แต่งตั้งคณะกรรมการพยากรณ์ และจัดทำแผน PDP  เมื่อวันที่ 21  สิงหาคมนี้เอง

ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ถูกพีระพันธุ์ขัดขวาง ดึงเรื่อง ดอง ซุกเอาไว้ใตพรม  สั่งสมเป็นดินพอกหางหมูก้อนใหญ่ ที่ทำให้วงการพลังงานประเทศไทย ในยุคของพีระพันธุ์หยุดนิ่ง และ‘ถอยหลัง’ เข้าคลอง  กระทรวงพลังงานเข้าสู่ ‘ยุดมืด’

แค่สะสาง กวาดขยะใต้พรม เคลียร์ดินพอกหางหมูที่พีระพันธุ์สร้างไว้ ทำให้กลไกด้านการวางแผน กำหนดยุทธศาสตร์ กำกับดูแลกิจการพลังงานแห่งชาติ ที่ถูกพีระพันธุ์ขัดขวาง ระงับ ยับยั้ง โดยไม่มีเหตุผล  กลับมาทำงานได้ตามปกติ 

QUICK BIG WIN  ของกระทรวงพลังงานก็จะเป็นจริงได้ ไม่ยาก

<<<<<>>>>>>> 

ส่อง 2 สนามเลือกตั้งใหญ่‘บัตรเสีย’พุ่ง

บัตร4ใบกับความเชื่อ‘คนไทยฉลาด’

‘อาจารย์ปื๊ด’  ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล แจกแจง กระบวนการทำประชามติที่จะเกิดขึ้น พร้อมการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ ในปี 2569 ไว้น่าสนใจวันก่อนว่า  

การยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วัน และไม่ช้ากว่า 60 วัน ดังนั้นการจัดทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องทำไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วันนั้น ‘ต้องจัดทำ’ ไทม์ไลน์ให้ดี เชื่อว่า ‘ช่วงเวลาที่ตรงกัน’ น่าจะจัดการได้ไม่ยากเพราะมีเรื่องของการประหยัดงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ที่ดูจะเป็น ‘ปัญหา’  คือจำนวนบัตร 4 ใบที่ผู้มีสิทธิได้รับมานั่นแหละ แม้ ดร.บวรศักดิ์ จะเชื่อว่า‘ไม่เกินความสามารถ’ ของคนไทยไปได้

‘ผมเชื่อว่าคนไทยฉลาด เชื่อว่าไม่สับสนกับบัตรเลือกตั้งและบัตรลงประชามติ เช่นบัตรเลือกตั้งก็ให้เป็นบัตรปกติโดยไม่มีสี แต่บัตรประชามติให้มีสีเหลือง หากเห็นชอบให้กาในช่องสีเขียว ไม่เห็นชอบให้กาช่องสีแดง ไฟเขียว ไฟแดงทุกคนก็รู้จัก ไฟแดงแปลว่าหยุด  ไฟเขียวแปลว่าไป ส่วน MOU ก็ใช้กระดาษอีกสีหนึ่ง เช่น สีฟ้า ใช้ช่องกาสีเขียวและสีแดง เช่นกัน’

ฟังดูเหมือนง่ายดาย แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น ก็ดูตัวอย่างจากการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566 กับการเลือกตั้งนายกอบจ.และ ส.อบจ. ครั้งล่าสุดจะพบความจริงว่า ‘บัตรเสีย’ มโหฬารทีเดียว

การเลือกตั้งอบจ.เมื่อวันเสาร์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 กกต.เผยข้อมูลระบุว่า มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นายก อบจ.  27,991,587 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน หรือร้อยละ 58.45 และจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.อบจ. 47,124,842 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 26,418,754 คน คิดเป็นร้อยละ 56.06 เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2563 ที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 62.86 มีจำนวนบัตรเสีย 2,419,376 ใบ

ไปดูการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 กกต.เผยแพร่รายงานผลการเลือกตั้ง 2566 ว่ามีผู้มาใช้สิทธิ 39,514,973 คน คิดเป็นร้อยละ 75.71 จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,195,920 คน

นอกจากนี้ยังพบว่า มีบัตรเสียรวมทั้งหมด 2,967,735 ใบ แบ่งเป็นบัตรสส. เขต 1,457,899 ใบ และบัตรบัญชีรายชื่อ 1,509,836 ใบ

คราวนั้นมีคำถามตามมาทันทีว่าทำไม ‘บัตรเสีย’ ถึงสูงมากและสูงที่สุดตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2548

แม้สังคมไทยจะ ‘คุ้นชิน’ กับการเลือกทั้ง ท้องถิ่นทั้งระดับประเทศ แต่ ‘บัตรเสีย’ กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่ขนาด ‘บัตร 2 ใบ’ ยังขนาดนี้ แล้วคิดดูแล้วกันว่า ‘บัตร 4 ใบ’ มันจะขนาดไหน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์