‘รังสิมันต์’ ประณามรัฐบาลกัมพูชา ‘ทั่วโลก’ ต้องรู้การกระทำ!

24 ก.ค. 2568 - 04:29

  • ‘รังสิมันต์’ ประณามรัฐบาลกัมพูชา เหตุปะทะเดือดไทย-กัมพูชา บอก ไทยต้องแจ้งนานาประเทศทราบ ห่วงประชาชน กลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบ ชี้ สมเด็จฮุนเซน อายุเยอะ คาดใช้แผนยั่วไปโฆษณาว่า ชนะไทย รัฐบาลต้องรักษาศักดิ์ศรีประเทศ ด้วยการตอบโต้ตามเหตุจำเป็น

  • ขณะที่ ‘สส.สุรินทร์’ เผย อพยพประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จุดปะทะ ‘ประสาทตาเมือนธม-ประสาทตาควาย’ แล้ว คาดว่าจะเป็นไปตามแผน แต่ห่วงการอพยพผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ ซัด รัฐบาลควรสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนกว่านี้ ในเรื่องการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐ ย้ำประชาชนยังมั่นใจและเชื่อใจทหารไทย

‘รังสิมันต์’ ประณามรัฐบาลกัมพูชา ‘ทั่วโลก’ ต้องรู้การกระทำ!

‘รังสิมันต์ โรม’ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ล่าสุดเกิดการใช้อาวุธและการประทะกันแล้วว่า อยากใช้โอกาสนี้ในการประณามรัฐบาลกัมพูชา พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุ การใช้ความรุนแรง การละเมิดอนุสัญญาออตตาวา โดยใช้ระเบิดในลักษณะที่เป็นกับดัก ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ควรมีการใช้อีกแล้ว คิดว่า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ยอมรับไม่ได้ ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องประณามการกระทำของรัฐบาลกัมพูชาที่ดำเนินการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เชื่อว่า รัฐบาลกัมพูชาต้องมีส่วนรู้เห็นการกระทำนี้อย่างแน่นอน มองว่า กัมพูชาควรที่จะเข้าใจกว่าหลายประเทศด้วยซ้ำว่า ความร้ายแรงเรื่องกับดักระเบิดเป็นอย่างไร ชาวบ้านและคนกัมพูชาได้รับความสูญเสียในเรื่องกับดักระเบิดนี้มาเป็นเวลานาน กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบเรื่องนี้มากที่สุด แต่กลับใช้พฤติกรรมนี้กับฝ่ายไทย ดังนั้น ต้องยอมรับว่าการที่จะพูดคุยเจรจาเรื่องนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายไทยคงต้องตอบโต้เรื่องนี้อย่างเหมาะสม

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo06.jpg

รังสิมันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นที่ฝ่ายไทยสามารถดำเนินได้ทันที คือ การสังเกตสถานการณ์โดยเชิญทูตจากประเทศต่างๆ ร่วมสังเกตการณ์ด้วย เรื่องนี้โลกต้องเห็น และมีข้อมูลที่เพียบพร้อมว่า กัมพูชามีความก้าวร้าวที่จะยั่วยุเพื่อให้สถานการณ์บานปลาย และกระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานเชิงรุกกว่านี้ การไปรอเดือนธันวาคมเพื่อหารือในอนุสัญญาออตตาวา เป็นสิ่งที่ช้าเกินไป และควรนำเรื่องนี้นำเสนอต่อ UNGA ที่เป็นเวทีสำคัญของสหประชาชาติ เพื่อให้ทั่วโลกได้เห็นว่า กัมพูชามีพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo03.jpg

รังสิมันต์ กล่าวว่า วันนี้มีการยิงปืนใหญ่แล้ว สถานการณ์บานปลาย สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ ต้องเตรียมความพร้อม เบื้องต้นทราบว่า มีการซักซ้อมในพื้นที่ เชื่อว่ามีความพร้อม แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายไปนานแค่ไหน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเตรียมความเป็นไปได้ เพื่อให้มั่นใจว่า ประชาชนทั่วไปและผู้บริสุทธิ์ไม่สมควรได้รับผลกระทบ ต้องหาวิธีรองรับให้มากที่สุดโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยติดเตียง และเด็กที่ต้องหามาตรการรองรับต้องฝากไปถึงรัฐบาล เมื่อมีการขัดกันทางอาวุธเกิดขึ้น กลุ่มเปราะบางประชาชนทั่วไป ควรจะได้รับความปลอดภัย

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo02.jpg

รังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการวันนี้ เป็นการใช้อำนาจเรียก แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ,ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ,มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แต่เข้าใจว่า บุคคลเหล่านี้ติดภารกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น พล.อ.ณัฐพล ที่ติดภารกิจเรื่องการแก้ไขสถานการณ์ ส่วนบางท่านที่ไม่เกี่ยว ต้องฟังคำอธิบายว่า ที่ไม่มาชี้แจงต่อกรรมาธิการด้วยสาเหตุอะไรโดยเฉพาะ ‘แพทองธาร’ ที่เป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงที่ต้องยอมรับว่าเรื่องคลิปเสียง ทำให้ระดับรัฐบาลและรัฐบาลคุยกันไม่ได้ วันนี้ต้องยอมรับว่า ผู้นำสองคนอาจมีปัญหาส่วนตัว หรือขัดกันระหว่างผลประโยชน์หรือไม่ แต่นำไปสู่การทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในครั้งนี้ ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่มีทีท่าที่จะหาทางออกได้

นอกจากนี้ รังสิมันต์ ยังฝากไปถึงกระทรวงการต่างประเทศว่า ถ้ากระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ได้ดี เชื่อว่าจะลดโอกาสความขัดแย้งลงมาได้ ซึ่งอาจไม่การันตีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่น้อยที่สุดคือ ถ้ามีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ การใช้อาวุธก็อาจจะลดความสำคัญลงมา ส่วนตัวคิดว่า ไทยควรตอบโต้ในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้ลุกลามบานปลายไปจนถึงการสูญเสีย

เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะที่กองทัพออกมา กล่าวว่า สถานการณ์เจรจาไม่ได้แล้ว นั้น รังสิมันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นการเชิญนักการทูตไปดูสถานการณ์ในพื้นที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อกำกับกัมพูชาไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่เราคุยกับโลกได้ ดังนั้น การพูดคุยกับต่างประเทศให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีความจำเป็นและต้องไล่สถานการณ์จากเบาหาหนัก พร้อมกับการหาวิธีรองรับ ไม่ให้พลเรือนได้รับผลกระทบ และสุดท้ายสถานการณ์จะไปถึงไหน คงตอบไม่ได้ว่ากัมพูชาจะยั่วยุและใช้ความรุนแรงไปถึงเมื่อไหร่ แต่ดูแล้วท่าทีของสมเด็จฮุนเซนพร้อมทำทุกอย่าง จึงต้องยอมรับว่า การพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การคุยกับโลกและประเทศต่างๆ เป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo04.jpg

ส่วนที่ผ่านมากัมพูชาเริ่มการยั่วยุก่อน จะเข้าทางของกัมพูชาหรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะไม่ตอบโต้อะไรเลย ต้องยอมรับตรงไปตรงมาว่า กัมพูชาต้องการอะไร กัมพูชาต้องการพาไทยไปศาลโลก ประเด็นสำคัญคือ เมื่อทหารได้รับบาดเจ็บ ต้องใช้โอกาสนี้ในการแสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว ส่วนนี้ไทยคงต้องตอบโต้ต่อไปและต้องยืนยันกับโลกว่า ไทยไม่ได้รังแกกัมพูชา แต่กัมพูชามีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ไม่เหมาะสม ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo07.jpg

สำหรับมาตรการคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลต้องกระตุ้นมากกว่านี้ คงต้องเอาทุกทางเท่าที่จะทำได้ และต้องตอบโต้ภัยคุกคามที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่า สิ่งที่กัมพูชาทำ อีกนิดจะกลายเป็นการก่อการร้ายแล้วเป็นพฤติกรรมที่แย่มาก คงต้องประณามในสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องอาศัยยาหลายตัวไม่มีตัวไหนที่จะหยุดยั้งความบ้าคลั่งของผู้นำกัมพูชาได้

“สมเด็จฮุนเซนเขาอายุเยอะแล้ว เขาคิดว่า การใช้วิธีแบบนี้ พูดง่ายๆ คือเขาต้องการ ไปโฆษณาชวนเชื่อว่า เห็นไหมว่า เขาชนะประเทศไทย การที่เขามีวิธีคิดแบบนี้ จึงพยายามทำทุกทางโดยที่ไม่สนใจว่า ความสูญเสียจะเป็นอย่างไร เมื่อเราเท่าทันสถานการณ์ รู้ว่ากัมพูชาต้องการอะไร สิ่งสำคัญคือถ้าทำให้ทั่วโลกเข้าใจว่า กัมพูชามีพฤติกรรมอย่างไร มีปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์อย่างไร คิดว่าเราจะแสวงหาพันธมิตรจำนวนมากในการทำให้กัมพูชาเห็นว่า วิธีการที่กัมพูชาทำมันไม่ได้อะไร”

รังสิมันต์ กล่าว

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo08.jpg

รังสิมันต์ ยังฝากไปถึงรัฐบาลอีกว่า เราต้องคิดว่า เราจะชนะสงครามอย่างไร แน่นอนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่ใช่สงคราม แต่การจะเอาชนะ อย่างไรไม่ใช่เฉพาะเรื่องศึกในศึกหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเห็นถึงภาพรวมว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กัมพูชาจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีของประเทศการตอบโต้ตามความจำเป็นและเหมาะสม

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo05.jpg

ด้าน ‘ปาทิดา ตันติรัตนานนท์’ สส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเช้าวันนี้ หลังปะทะกัน โดยจากการประสานในพื้นที่รับทราบว่า ประชาชนมีความปลอดภัย  และมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์ปะทะเกิดขึ้น

“อยากให้ประชาชนในพื้นที่โซนอำเภอพนมดงรัก ปราสาทตาควาย และประสาทตาเมือนธม ทราบว่า มีการเปิดยิงอยู่ 2 จุด คือปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย อยากสื่อสารว่า อยากให้พี่น้องทุกคนมีความปลอดภัย ตอนนี้มีการอพยพแล้ว และเชื่อมั่นจากที่ได้ซ้อมอพยพมาก่อนเริ่มมีเหตุการณ์ครั้งนี้ ทุกหมู่บ้านน่าจะมีการอพยพตามแผนที่วางไว้”

ปาทิดา กล่าว

rome-thai-canbodia-24jul25-SPACEBAR-Photo01.jpg

ปาทิดา กล่าวต่อว่า คาดการณ์ว่าอาจจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง แต่ยังเชื่อมั่นว่าในส่วนของรัฐบาลไทยจะมีการเจรจาที่มีความชัดเจนมากกว่านี้ และมีการสื่อสารที่ชัดเจนโดยตรงไปถึงประชาชนคนไทยมากกว่านี้ แต่วันนี้เห็นแล้วว่า การเจรจาไม่ได้มีข้อมูลอะไรให้ประชาชนรับทราบ และไม่มีความคืบหน้า แต่ประชาชนในพื้นที่บอกว่า เชื่อมั่นและไว้ใจกับทหารไทย ย้ำว่าเรื่องการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ มีความพร้อมปฏิบัติการตามแผน แต่ยอมรับว่า รับทราบข่าวช้าและพึ่งมีการอพยพในช่วงเวลาเกือบ 10.00 น. ที่ผ่านมา

โดยแสดงความเป็นห่วงการอพยพในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ  เพราะตามแผนจะต้องอพยพประชาชนกลุ่มนี้ก่อนล่วงหน้า แต่วันนี้เป็นการอพยพพร้อมกัน คาดว่า การอพยพผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุอาจจะมีการติดขัดอยู่บ้าง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์