ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ชี้แจงกรณีที่กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ ที่ได้มีการลงนามกันไว้เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 โดยอ้างข้อพิรุธต่างๆ ว่า “ในเรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่การที่ผมไปปรากฏในภาพที่ถ่ายร่วมกับ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี และ เบน สมิธ ในพิธีลงนาม MOU ดังกล่าว ซึ่งขอชี้แจงอีกครั้งว่า ขณะนั้นผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้รับเชิญไปร่วมเป็นสักขีพยานตามปกติ ไม่ได้รู้จักกับ เบน สมิธ เป็นการส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ได้รับเชิญไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีต่างๆ ซึ่งรัฐมนตรีทุกท่านก็จะได้รับเชิญไปร่วมลักษณะเดียวกันนี้ อีกทั้งในส่วนของสักขีพยานท่านอื่นๆ ที่เข้าร่วม ผมก็ไม่ใช่เป็นผู้ประสานงานเชิญ และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ประสานงาน”
ประเสริฐ กล่าวอีกว่า “สำหรับ MOU ฉบับนี้ ผมได้ดำเนินการตรวจสอบในรายละเอียดเพื่อยืนยันข้อมูลที่ชัดเจนหลังปรากฏเป็นกระแสข่าว ก็พบว่าได้เสนอตามขั้นตอนให้มีการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วก่อนที่จะมีการดำเนินการลงนาม ทั้งในส่วนของ สำนักงานปลัดกระทรวงดีอี กองการต่างประเทศ กระทรวงดีอี กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด โดยที่สำนักงานปลัดกระทรวงดีอีได้รับข้อสังเกตจากทุกหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณา MOU นี้แล้ว”
MOU ฉบับนี้ไม่ได้ระบุเงื่อนไขการให้สิทธิพิเศษ หรืออำนวยความสะดวกพิเศษใดๆ กับเอกชนในทุกเงื่อนไข และยังระบุในเนื้อหาอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างต้องเป็นไปภายใต้กฎหมายราชอาณาจักรไทยทุกประการ สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นย่อมต้องขออนุญาตกับหน่วยงานนั้นๆ ให้ถูกต้อง รวมถึงสิ่งใดไม่มีกฎหมายรองรับก็จะกระทำไม่ได้
ประเสริฐ ยืนยันว่า “การดำเนินการดังกล่าวของกระทรวงดีอีไม่มีการเอื้อผลประโยชน์ใดๆ ให้กับเอกชนหรือบุคคลใดๆ โดยเฉพาะ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ขั้นตอนและเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อประเทศและพี่น้องประชาชน โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ ส่งเสริมนวัตกรรม และเสริมสร้างศักยภาพให้กับบุคลากรในประเทศไทย ตามนโยบายเพื่อสอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และวิสัยทัศน์ประเทศไทย 2030 ‘IGNITE THAILAND’ ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมโลก”
ตลอดเวลาที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เราเป็นรัฐบาลชุดแรกที่ดำเนินการปราบปรามอาชญกรรมออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง ผมได้รับภารกิจสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์นี้มาปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่น และเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ทั้งด้านการปราบปราม การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และการมุ่งหน้าที่จะหานวัตกรรมเพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นต่อประเทศและประชาชนตลอดระยะเวลา


